ชาววังน้ำเขียวโคราช ‘ปลูกต้นแมคาเดเมีย’ สร้างรายได้ปีละ 200,000 บาท

ชาววังน้ำเขียวโคราช ‘ปลูกต้นแมคาเดเมีย’ ได้ดีไม่ต้องไปไกลถึงเชียงราย ให้ราคาสูงกิโลกรัมละ 1 พันบาท สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย อาทิ อบเกลือ เคลือบน้ำผึ้ง และรสวาซาบิ หรือทานสดก็ได้ สร้างรายได้ปีละ 2แสนบาท

 

            นายวิรัตน์ เขียนดวงจันทร์ ผู้จัดการบ้านไร่ปลายตะวันและศูนย์เพาะพันธุ์พืช กล่าวว่า ที่บ้านไร่ปลายตะวันเป็นสถานที่ปลูกพืชหลายประเภททั้งผัก ผลไม้ และดอกไม้ รวมถึงต้นไม้ต่างๆ โดยเมื่อ 3ปีก่อนได้นำพันธุ์ของแมคาเดเมียมาทดลองปลูก เพราะเห็นว่าที่อำเภอวังน้ำเขียวมีอากาศเย็นตลอดปี จึงได้นำมาทดลองปลูกจำนวน 50 ต้น ปรากฏผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ให้ผลผลิตที่ดีและยังมีรสชาติอร่อย ซึ่งที่ไร่ของเราได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในการเพาะปลูกและดำเนินการต่างๆ  โดยเพื่ออยากให้คนโคราชได้มีแมคาเดเมียทานกันโดยไม่ต้องเดินทางไกลไปซื้อถึงจังหวัดเชียงรายภาคเหนือและมีราคาที่ถูกกว่า ทุกคนจะได้รู้ว่าที่อำเภอวังน้ำเขียวมีแมคาเดเมียและสามารถปลูกให้ผลผลิตได้

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ช่วงระยะแรกในการปลูกใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี คือค่อนข้างใช้เวลาแต่คุ้มค่า เนื่องจากแมคาเดเมียมีราคาสูงในท้องตลาดเป็นที่นิยมบริโภคเพราะมีสรรพคุณและคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประโยชน์ของแมคคาเดเมียคือ 1.ช่วยลดภาวะของโรคหัวใจทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น 2.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ 3. ช่วยลดน้ำหนัก 4.ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย 5. ช่วยบำรุงสมอง โดยต้นแมคาเดเมียอายุ 4 -5 ปีจะให้ผลผลิตประมาณ 3 – 4 กิโลกรัม อายุ  แต่ถ้าเป็นอายุ 6 – 8ปีขึ้นไปแล้ว จะให้ผลผลิตสูงถึงต้นละ 15-20 กิโลกรัมเลยทีเดียว โดยราคาขายในตลาดอยู่ที่ขีดละประมาณ 100 บาท หรือ กิโลกรัมละ 1 พันบาท แต่ถ้าขายในเขตโคราช เราก็จะกำหนดราคาถูกกว่านี้ เพื่อให้อยู่ในระดับเหมาะสมก็คงประมาณ 60-70 บาท ซึ่งปัจจุบันทางบ้านไร่ปลายตะวันก็ทำมา 5 ปีแล้ว จำนวน 50 ต้น สร้างรายได้กว่า 2 แสนบาทต่อปี ผลของแมคาเดเมียสามารถนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ไอศกรีม อบเกลือ อบน้ำผึ้ง และรสวาซาบิ และกินสดได้ นอกจากนั้น เรายังส่งเสริมให้เกษตรกรที่อยากจะปลูกยินดีให้ความรู้ในการปลูก ซึ่ง ณ เวลานี้ทางเรากำลังขยายพื้นที่เพิ่มเพื่อเอาพันธุ์ของต้นแมคาเดเมียจำนวนอีก 300 ต้นมาลงปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ต่อไปในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถมาดูได้ที่แปลงปลูกและยินดีถ่ายทอดความรู้ในการปลูก โดยให้มาที่  ศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านไร่ปลายตะวันและศูนย์เพาะพันธุ์พืช อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เบอร์โทรศัพท์ 085- 1847261 นอกจากนี้ทางบ้านไร่ปลายตะวันยังมีแปลงปลูกเมลอนแบบปลูกในน้ำและผักปลอดและพืชต่างๆอีกหลากหลายโดยใช้ระบบไฮโดรโปนิกปลอดสารพิษ 100 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

สะพานไม้ร้อยปี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ของโคราช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย หยุดกระโทก กำนันตำบลโคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พร้อมเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย และชาวบ้าน ช่วยกันทำการพัฒนาและต่อเติมจุดชมวิวและสถานที่ให้บริการนักท่องเที่ยว บริเวณสะพานไม้ร้อยปี ตั้งอยู่ที่บ้านโคกกระชาย ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา  ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของอำเภอครบุรี และจังหวัดนครราชสีมา ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้

โดยชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างจุดชมวิวและถ่ายรูปบริเวณมุมต่างๆของสะพาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมได้มีมุมถ่ายรูปกับสะพานไม้ร้อยปีหลากหลากและสวยงามมากขึ้น พร้อมกับได้จัดจุดชมพระอาทิตย์ตก ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ด้วย

นายสมชัย หยุดกระโทก กำนันตำบลโคกกระชาย กล่าวว่า ในช่วงนี้บรรยากาศที่สะพานไม้ร้อยปีของจังหวัดนครราชสีมา กำลังสวยงามเนื่องจากทุ่งนาข้าวของชาวบ้านที่สะพานไม้ร้อยปีระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร พาดผ่านกำลังเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่เติบโตสวยงาม รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของน้ำภายในลำคลอง อากาศก็เย็นสบายเหมาะสมที่จะให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันตลอดทั้งวัน ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จึงช่วยกันปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาต่อเติมจุดต่างๆไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งต่อไปก็จะมีการสร้างจุดบริการต่างๆเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของห้องน้ำ และจุดบริการอาหารเครื่องดื่มเป็นต้น

ประชาชนชาวโคราชแฮปปี้โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (ช่วงสระบุรี-นครราชสีมา)พร้อมต้อนรับการท่องเที่ยวฯ

ประชาชนชาวโคราชแฮปปี้โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (ช่วงสระบุรี-นครราชสีมา)พร้อมต้อนรับการท่องเที่ยวฯ
วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561 เวลา 08.00 น. – 12.00 น.การประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชน
งานปรับแบบรายละเอียดในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน (ช่วงสระบุรี-นครราชสีมา)ณ ห้องประชุมโรงแรมสีมาธานี ถนนมิตรภาพ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมาโดยนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ผู้แทนการรถไฟแห่งประเทศไทย กระทรวงคมนาคม กล่าวรายงาน
หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนจากภาคเอกชน สถาบันการศึกษา ผู้นำชุมชน สื่อมวลชน พี่น้องประชาชนและผู้มีเกียรติทุกท่าน
มื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2557 ณ กรุงเทพมหานคร รัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือระหว่างรัฐบาลตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่งของไทย พ.ศ.2558 – 2569 เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการรถไฟทางคู่ขนาดมาตรฐาน เส้นทางกรุงเทพฯ – นครราชสีมา – หนองคาย และเส้นทางแก่งคอย-ท่าเรือมาบตาพุด ระยะทางรวมประมาณ 867 กิโลเมตร ซึ่งฝ่ายรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยตกลงให้รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนเตรียมโครงการ ศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของโครงการ และดำเนินการก่อสร้างงานโยธา


การประชุมในวันนี้มีสาระสำคัญที่จะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการที่จะได้รับทราบข้อมูลความเป็นมาของโครงการ เหตุผลความจำเป็นของโครงการและความจำเป็นในการปรับแบบของโครงการ รูปแบบรายละเอียดของโครงการ และองค์ประกอบของโครงการ ตลอดจนแนวทางและขั้นตอนการศึกษาkที่สำคัญแก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ศึกษาโครงการรวมถึงได้มีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะที่จะช่วยให้การพัฒนาเป็นไปในทิศทางที่เหมาะสม และสอดคล้องกับความต้องการของทุกภาคส่วนยิ่งขึ้นผมจึงขอเชิญชวนท่านผู้มีเกียรติทุกท่านร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลและแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาโครงการและนำข่าวสารการประชุมในวันนี้ไปเผยแพร่ต่อชุมชนและหน่วยงานของท่านอย่างทั่วถึงต่อไป


ความร่วมมือข้างต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การพัฒนาโครงข่ายรถไฟสอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่ส่งเสริมการลงทุนในโครงการที่สำคัญของประเทศ ทั้งโครงการต่อเนื่องและโครงการใหม่ที่มีความพร้อม การศึกษาโครงการระบบรถไฟทางคู่ขนาดทางมาตรฐาน 1.435 เมตร ช่วงบ้านภาชี-แก่งคอย-นครราชสีมา จึงเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการขนส่งทางรางที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อเพิ่มขีดความสามารถด้านการขนส่งและเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวของประเทศ


เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2559 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีประเทศไทยได้หารือทวิภาคีกับนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ณ เมืองไหหนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่ประชุมสรุปการลงทุนโครงการ ฝ่ายไทยจะเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด โดยกำหนดนโยบายเริ่มก่อสร้างเส้นทาง กรุงเทพฯ – นครราชสีมา และส่วนต่อขยายเมื่อมีความพร้อม
การประชุมคณะกรรมการร่วมเพื่อความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ครั้งที่ 10 ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบให้มีการเริ่มต้นก่อสร้างโครงการรถไฟความเร็วสูง ช่วงกรุงเทพฯ – นครราชสีมา เป็นลำดับแรก
ในการนี้ การรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ดำเนินการจ้างและสั่งจ้างบริษัท เอ็ม เอ เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาเพื่อดำเนินการตรวจสอบรายละเอียดการออกแบบของฝ่ายจีน ออกแบบเพิ่มเติมในส่วนที่ฝ่ายจีนไม่ได้ดำเนินการ สำรวจรายละเอียดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเวนคืน และการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มเติม โครงการความร่วมมือด้านรถไฟระหว่างไทย-จีน ช่วงบ้านภาชี-แก่งคอย-นครราชสีมา
สำหรับการประชุมการมีส่วนร่วมของประชาชนเป็นกิจกรรมที่มีความมุ่งหมายที่สำคัญเพื่อเผยแพร่ข้อมูลและการดำเนินงาน ที่ฝ่ายจีนเป็นผู้ออกแบบรายละเอียดการก่อสร้างและควบคุมการก่อสร้าง ซึ่งอาจมีความจำเป็นต้องปรับปรุงจากรูปแบบเดิมจากที่ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งการจราจร (สนข.) ได้ศึกษาและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมของโครงการรถไฟความเร็วสูง สายกรุงเทพฯ – นครราชสีมา (ช่วงชุมทางบ้านภาชี – นครราชสีมา) และได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติแล้วในการประชุมครั้งที่ 4/2560 เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2560 และเพื่อรับฟังความคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งจะนำไปพิจารณาประกอบการสำรวจออกแบบรายละเอียดตามนโยบายของรัฐบาลที่เร่งรัดให้ดำเนินการโดยเร่งด่วนรวมทั้งทำการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพื่อขอเปลี่ยนแปลงรายละเอียดโครงการจากที่ได้รับความเห็นชอบ และการจัดทำมาตรการป้องกันแก้ไข และบรรเทาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่มีความรอบคอบ รัดกุม และมีประสิทธิภาพ รวมถึงการปรับรูปแบบการพัฒนาโครงการให้มีความเหมาะสมยิ่งขึ้น ก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้างโครงการต่อไป

โคราช-!!ฝึกปฏิบัติการกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ วิจัยและการเรียนรู้ ของจีโอพาร์ค นำไปสู่การศึกษา อนุรักษ์ พัฒนากิจกรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ

วันที่ 19 สิงหาคม 2561 สถาบันวิจัยไม้กลายเป็นหินและทรัพยากรธรณีภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เฉลิมพระเกียรติ โดย อุทยานธรณีโคราช ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา จัดพิธีเปิดโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการ “จีโอพาร์คกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” ณ โรงแรมแคนทารี่ โคราช จังหวัดนครราชสีมา โดยได้รับเกียรติจาก นายจรัสชัย โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดโครงการ พร้อมด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.วิเชียร ฝอยพิกุล อธิการบดี กล่าวต้อนรับผู้เข้ารับการอบรม
การอบรมเชิงปฏิบัติการจีโอพาร์คกับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน เกิดจากความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย และจังหวัดนครราชสีมา สืบเนื่องจากเมื่อปี พ.ศ. 2555 จังหวัดนครราชสีมาและมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา ได้เริ่มดำเนินการศึกษา
คุณค่าความโดดเด่นของพื้นที่เชิงธรณีวิทยา บรรพชีวินวิทยา ความหลากหลายของชีวภาพที่มีความสวยงามในจังหวัดนครราชสีมาในการพัฒนาพื้นที่ให้เป็นอุทยานธรณีที่มีชื่อเรียกว่า “อุทยานธรณีโคราช” ซึ่งจังหวัดนครราชสีมาได้ประกาศให้อุทยานธรณีโคราช เป็นอุทยานธรณีระดับจังหวัด ในปี พ.ศ. 2558 และขณะนี้อยู่ระหว่างการรับรองเป็นสมาชิกอุทยานธรณีประเทศไทย เพื่อที่จะร่วมกันขับเคลื่อนสู่การรับรองให้เป็น UNESCO Global Geoparkลำดับต่อไป ด้วยเหตุนี้ จึงได้ประสานความร่วมมือในการส่งเสริมความรู้ความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จัดการอบรมครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้มีความรู้ความเข้าใจพร้อมทั้งได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์การบริหารจัดการจีโอพาร์ค การจัดกิจกรรมท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
ในจีโอพาร์คของประเทศอาเซียน รวมทั้งฝึกปฏิบัติการกิจกรรมด้านการอนุรักษ์ วิจัยและการเรียนรู้ของจีโอพาร์ค นำไปสู่การศึกษา อนุรักษ์ พัฒนากิจกรรม เศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวยังสถานที่ต่าง ๆ
ของจีโอพาร์คให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางต่อไปผู้เข้าอบรม ได้แก่ กลุ่มเครือข่ายและครู-อาจารย์ผู้สอนในระดับประถมและมัธยมศึกษาในจังหวัดนครราชสีมา

การอบรมจัดขึ้นระหว่างวันที่ 19-21 สิงหาคม 2561 โดยกิจกรรมได้จัดให้มีบรรยายเกี่ยวกับการผลักดันโคราชจีโอพาร์คสู่อุทยานธรณีโลก ในหัวข้อ หลักการและแนวคิดเกี่ยวกับจีโอพาร์คของยูเนสโก (UNESCO GloblaGeopark)
การฝึกอบรมครั้งนี้แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ 1 การบรรยายพิเศษเพื่อให้ความรู้ด้าน ยูเนสโกโกลบอลจีโอพาร์ค การท่องเที่ยวการศึกษาชุมชนในพื้นที่รวมถึงการบูรณาการด้านธรรมชาติกับการอนุรักษ์ในพื้นที่จีโอพาร์ค งานเสวนาการศึกษาแหล่งธรรมชาติและวัฒนธรรมในพื้นที่อุทยานธรณีโคราชมีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 100 คนซึ่งเป็นคณะทำงานอุทยานธรณีทั่วประเทศ ผู้แทนจากส่วนราชการระดับจังหวัดและท้องถิ่นครูอาจารย์นักวิชาการชุมชนและประชาชนทั่วไปมีวิทยากรผู้บริหารและสมาชิกสภา UNESCO Global จีโอพาร์คผู้เชียวชาญและผู้บริหารยูเนสโกGlobal

ชาวพิมายเดือด !!!ลุกฮือหวิดวางมวยผอ.กรมศิลป์ เหตุปรับโบราณสถานพิมายโดยไม่ถามเสียงประชาชน


ชาวพิมายเดือดลุกฮือหวิดวางมวยผอ.กรมศิลป์ เหตุปรับโบราณสถานพิมายโดยไม่ถามเสียงประชาชน

                โต้เดือดกลางห้องประชุมระหว่างชาวพิมาย กับ ผอ.กรมศิลปากรที่ 10 เหตุปรับปรุงลานเมรุพรหมทัตโบราณสถานกลางเมืองพิมายโดยไม่ถามเสียงประชาชน ด้าน ผอ.กรมศิลป์แจงปรับปรุงพื้นที่ เพื่อเสริมคุณค่าความเป็นโบราณสถานของเมรุพรหมทัต ทางกรมศิลปากรวอนอย่าเชื่อข่าวลือ จากกระแสข่าว ที่กรมศิลป์จะรื้อเมรุพรหมทัตซึ่งเป็นสมบัติชาติตามที่มีการปล่อยข่าวลือเรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เพราะสมบัติชาติรื้อไม่ได้

                วันที่ 20 กรกฎาคม 2561 เวลา 15.00 น. ที่ ชั้น 2 ห้องประชุม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพิมาย ถ.ท่าสงกรานต์ ต.ในเมือง อ.พิมาย จ.นครราชสีมา นายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เป็นประธานในการรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านกรณีปรับภูมิทัศน์ลานเมรุพรหมทัตโบราณสถานแห่งชาติพิมาย พร้อมด้วย นายโสวัฒน์ ดาวะศรี ปลัดอาวุโสอำเภอพิมาย, นางชุติมา จันทร์เทศ ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติพิมาย, นายดนัย ตั้งเจิดจ้า นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลพิมาย อีกทั้ง ดร.พรธรรม ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร (ผู้เคยออกแบบสวนศิลป์รอบพระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ) ร่วมรับฟังการประชุมครั้งนี้

นายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เป็นประธานกรรมการโครงการ กล่าวว่า  โครงการพัฒนาภูมิทัศน์ลานเมรุพรหมทัต ดำเนินการโดยสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา และ อุทยานประวัติศาสตร์พิมาย มีจุดประสงค์ เพื่อปรับปรุงพื้นที่ เพื่อเสริมคุณค่าความเป็นโบราณสถานของเมรุพรหมทัต และพื้นที่โบราณสถานต่อเนื่องและมีสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับชุมชน ทางกรมศิลปากรไม่มีความคิดที่จะรื้อเมรุพรหมทัตซึ่งเป็นสมบัติชาติตามที่มีการปล่อยข่าวลืออย่างแน่นอน อยากให้เข้าใจหลักการทำงานด้วย เราควรคุยกันด้วยเหตุและผลอย่าใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง จะอย่างไรก็ตามทางกรมศิลปากรก็จะปรับแบบลานภูมิทัศน์ตามที่ชาวพิมายได้เสนอแนะแนวทาง ซึ่งหากปรับแบบแล้วเสร็จอย่างไรก็จะนัดหมายให้ทราบเพื่อดูแบบที่ปรับเพื่อความพึงพอใจของชาวพิมายทุกท่านอีกครั้ง

ทางด้าน ดร.พรธรรม ธรรมวิมล ภูมิสถาปนิก สำนักสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร (ผู้เคยออกแบบสวนศิลป์รอบพระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชฯ) และเป็นผู้ออกแบบการปรับลานภูมิทัศน์และสวนหย่อมลานเมรุพรหมทัต กล่าวว่า วันนี้ได้มารับฟังการชี้แจงทั้งกับทางกรมศิลปากรและชาวพิมาย ก็จะนำสิ่งที่ชาวพิมายเสนอมาเพื่อนำไปแก้แบบให้แล้วเสร็จ เมื่อเสร็จสมบูรณ์แล้วก็จะนำผลงานมาให้ชาวพิมายได้ชมกันอีกครั้งเพื่อความพึงพอใจ อย่างไรก็ตามกรมศิลปากรได้จัดทำการปรับปรุงลานพรหมทัตเป็นไปตามระเบียบราชการและข้อกฎหมายทุกประการ

ขณะที่ นายอนุวัฒน์ วิเศษจินดาวัฒน์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร พรรคเพื่อแผ่นดิน เขตอำเภอพิมาย เป็นตัวแทนชาวพิมาย กล่าวกลางกรณีนี้ว่า ทางกรมศิลปากรคิดอยากจะทำอย่างไรก็ไม่ถามชาวบ้านเลยหรือ เพราะว่าอยู่ดีดีก็นำรั้วสังกะสีมาล้อมเมรุพรหมทัต ซึ่งเป็นสวนสาธารณะของประชาชนโดยไม่แจ้งให้ประชาชนทราบล่วงหน้า เขาก็งงเพราะมีข่าวลือว่ากรมศิลป์จะรื้อเมรุพรหมทัตซึ่งเป็นโบราณสถานออกและเป็นเป็นอย่างอื่น ทำให้ประชาชนเขาไม่พอใจมาก เพราะไม่มีการแจ้งให้ทราบว่าคุณจะทำอะไร เขาเลยเข้าใจผิด ประกอบกับ ผอ.สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ก็ไม่เคยลงพื้นที่ถามความคิดเห็นชาวบ้านเลยอีกด้วย แต่วันนี้ทางกลุ่มชาวบ้านก็พอใจที่ทางกรมศิลปากรสัญญาจะแก้ไขแบบและจะนำมาให้ดูอีกครั้ง

ทั้งนี้ ยังมีภาพบรรยากาศ ระหว่างการประชุมมีวิวาทกันเนื่องจากทางกลุ่มชาวบ้านไม่พอใจที่ทางนายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ได้ทำการปรับปรุงลานเมรุพรหมทัตโดยไม่ทำประชาพิจารณ์กับชาวบ้าน เพราะสถานที่ดังกล่าวถือว่าเป็นโบราณสถานสำคัญของชาติ ซึ่งทำให้หลายคนเข้าใจผิดตามกระแสข่าวลือที่ว่า ทางกรมศิลปากรมีคำสั่งให้รื้อลานเมรุพรหมทัตแล้วไปทำเป็นสวนหย่อม อย่างไรก็ตามภายหลังการประชุมทางชาวพิมายและกรมศิลปากรรับปากจะนำแบบไปแก้ไขให้และกล่าวขออภัยที่ไม่ได้แจ้งข่าวให้ทราบ และฝากประชาชนอย่าเชื่อข่าวลือใดๆทั้งสิ้น สมบัติชาติใครก็ไม่มีสิทธิ์รื้อทั้งนั้น

 

โคราช ยกระดับการท่องเที่ยว จัดโครงการเจ้าบ้านน้อยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบครบวงจร

วันที่ 6 สิงหาคม 2561  ที่สวนวิภา ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา นายมนตรี ปรียางกูล ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด นครราชสีมา พร้อมด้วยนางรุ่งทิพย์ บุกขุนทด ผู้อำนวยการการท่องเที่ยว สำนักงานนครราชสีมา ร่วมเปิดอบรมเจ้าบ้านน้อยรักษ์เขาใหญ่-วังน้ำเขียว รุ่นที่ 1 พร้อมบรรยายหัวข้อ “การท่องเที่ยวกับชุมชน”โครงการเจ้าบ้านน้อยรักษ์เขาใหญ่-วังน้ำเขียวส่งเสริมเยาวชนส่งเสริมท่องเที่ยวยกระดับครบวงจร ครั้งที่1

 

ณ.สวนวิภา ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา นายมนตรี ปรียางกูล ผู้อำนวยการสำนักงานท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัด นครราชสีมา พร้อมด้วย

นางรุ่งทิพย์ บุกขุนทด ผู้อำนวยการการท่องเที่ยว สำนักงานนครราชสีมา ร่วมเปิดอบรมเจ้าบ้านน้อยรักษ์เขาใหญ่-วังน้ำเขียว รุ่นที่ 1ภายใต้โครงการยกระดับการท่องเที่ยวครบวงจร ระยะเวลา6วันระหว่างวันที่6-8 สิงหาคม,14-16สิงหาคม 2561 พร้อมบรรยายหัวข้อ “การท่องเที่ยวกับชุมชน”เพื่อส่งเสริมเยาวชนส่งเสริมการท่องเที่ยวแหล่งท่องชุมชนในพื้นที่รวมทั้งเสริมสร้างทักษะเยาวชนการเป็นเจ้าบ้านที่ดีต้อนรับนักท่องเที่ยวและเสริมสร้างเยาวชนรุ่นใหม่อนุรักษ์แหล่งท่องเทียวแหล่งธรรมชาติยั่งยืน

 

จังหวัดนครราชสีมา แถลงข่าวการจัดงานแห่เทียนพรรษา ประจำปี 2561

[the_ad id=”217″]
จังหวัดนครราชสีมา โดยเทศบาลนครนครราชสีมา จัดงานแถลงข่าว การจัดงานแห่เทียนพรรษาโคราช ประจำปี 2561 ณ วัดโพธิ์ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา
   โดยมีตัวแทนจากทุกภาพส่วนเข้าร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย
และขอเชิญช่วนทุกท่าน ร่วมชนขบวนแห่เทียนพรรษาที่ยิ่งใหญ่ในครั้งนี้ ระหว่างวันที่ 27-28 กรกฎาคม 2561

จังหวัดนครราชสีมา ได้รับความร่วมมือจากห้างสรรพสินค้าชั้นนำ ในการให้บริการรถ รับ – ส่ง ฟรีตลอดงาน

ร่วมชมการประกวดต้นเทียนพรรษาโคราช ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพฯ ระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค.61

นครราชสีมา – ขอเชิญร่วมงานประเพณีแห่เทียนเข้าพรรษาโคราช  27-28 กรกฎาคม 2561

 

 

เทศบาลนครนครราชสีมา ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานนครราชสีมา กำหนดจัดงานประเพณีแห่เทียนโคราช ประจำปี 2561 ชิงถ้วยพระราชทาน สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ระหว่างวันที่ 27-28 ก.ค.61 ณ บริเวณลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) สวนสุรนารี สวนเมืองทอง และ สวนอนุสรณ์สถาน ขบวนแห่เริ่มเวลา 09.00 น.ในวันที่ 28 ก.ค.61 ทั้งนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมและอนุรักษ์ไว้ซึ่งศิลปวัฒนธรรม ประเพณี อันดีงามของไทยให้คงอยู่สืบไป


ภายในงานจัดให้มีการประกวดต้นเทียนพรรษา อันวิจิตรสวยงาม ตระการตา ด้วยความประณีตวิจิตรบรรจงในการแกะสลักลวดลายต้นเทียนโดยช่างฝีมือชาวโคราช พร้อมสัมผัสความยิ่งใหญ่อลังการของขบวนแห่เทียนพรรษาที่มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของขบวนแห่เทียนจากอำเภอต่างๆ สะท้อนถึงเอกลักษณ์และวัฒนธรรมที่บอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของศาสนา การแสดง แสง สี เสียง และมหรสพสมโภช รวมทั้งมีผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น อาหารดีเมืองโคราช สินค้าโอทอป ให้เลือกซื้อและลิ้มรส ตลอดทั้งงาน


#ประชาสัมพันธ์ เทศบาลนครนครราชสีมา

ผู้ว่าโคราชเยี่ยมชมแหล่งท่องเที่ยวอารยธรรมโบราณ อายุมากกว่า 4,000 ปี บ้านโนนวัด

นครราชสีมา – ผู้ว่าโคราชออกตรวจพื้นแวะเยี่ยมชมกระตุ้นชุมชุนส่งเสริมการท่องเที่ยวอารยธรรมโบราณคุณค่าหนึ่งในอาเซียน อายุมากกว่า 4,000 ปี

        วันพุธที่ 18 กรกฎาคม 2561 เวลา 13.30 น. นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยนางณัฎฐินีภรณ์ จันทรโนทัย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา เดินทางทางไปเยี่ยมชมและให้กำลังใจผู้ปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ณ ศูนย์การเรียนรู้ท้องถิ่น สมัยก่อนประวัติศาสตร์แหล่งโบราณคดีบ้านโนนวัดอายุมากกว่า4,000ปี

แหล่งความรู้ในอดีตชุมชนใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผศูนย์เรียนรู้สมัยก่อนประวิติศาสตร์แสดงวัตถุโบราณถึง 3 ยุคความต่อเนื่องทุกยุคต่อเนื่อง1)ยุคหินใหม่ 2)ยุคสัมฤทธิ์ 3)ยุคเหล็กโดยมีอายุยาวนานเรียงจากมากสุดมากกว่า4,000ปี

โดยมีการจัดแสดงโครงกระดูกมนุษย์โบราณ,ของเครื่องใช้-เครื่องประดับและอุปกรณ์ล่าสัตว์การดำรงชีพที่แสดงอัตลักษณ์ชุมชนสังคมในยุคก่อนในอดีตสามารถติดตามเยี่ยมชมได้ ตำบล พลสงคราม อำเภอโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา

เครดิตภาพและข้อความจาก พี่วุฒินันท์ Lion dare. รส.76

มงไม่พลิก! ตัวเต็ง “น้ำอ้อย” ซิว “มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018”

“มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018”

เข้มข้นถึงใจไม่จกตาสำหรับ มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 เวทีประกวดนางงาม อันดับหนึ่งของประเทศไทย ผู้สร้างแฮชแท็ค #นับจากนี้ทุกพื้นที่มีแต่แกรนด์ และ #เวทีอันดับหนึ่งของประเทศไทย ยกระดับคุณภาพการประกวดสู่ระดับสากลโลก โปร่งใส ไม่ล็อคผล ปีนี้มงกุฎเพชรตกเป็นของ น้ำอ้อย ชนะพาล สาวสวยสุดมั่นจาก คณะครุศาสาตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ตัวแทน มิสแกรนด์ภูเก็ต ซิวตำแหน่ง มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 ไปแบบไม่พลิกโผและโดนใจกองเชียร์เป็นที่สุด

สำหรับบรรยากาศการประกวดเต็มไปด้วยความสนุก  77 มิสแกรนด์ จาก 77 จังหวัด พร้อมมาก ฝ่ายกองเชียร์จากทุกจังหวัดไม่น้อยหน้า หอบป้ายไฟ ภาพนางงามที่ชื่นชอบ มากันแน่น ฮอลล์ 100 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมนานาชาติ ไบเทค บางนา กลายเป็นสีสันการเชียร์นางงามที่มีเสน่ห์ไม่เหมือนใครปีนี้ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล ประธานกองประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ จัดหนักด้วยเวทีขนาดใหญ่ในคอนเซ็ปต์ DIMON สะท้อนความแข็งแกร่งแต่สวยงามของผู้หญิง แสง สี เสียง บนจอ LED ขนาด 10 เมตร ตระการตาสมฐานะ เวทีนางงามอันดับหนึ่งของประเทศไทย อุ่นเครื่องช่วงค่ำเวลา 21.00 น. ด้วยคอนเสิร์ตของศิลปินเสียงดี เบน ชลาทิศ เป็นที่ถูกอกถูกใจแฟนคลับอย่างยิ่ง

เวลา 22.45 น. กระหึ่มเวทีการประกวด มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2018 ถ่ายทอดสด 100% ทาง ช่อง 7 HD และ Facebook Live Miss Grand Thailand สาวงาม 77 จังหวัด ออกมาวาดลวดลาย Openning Dance แนะนำตัวที่ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นเวที มิสแกรนด์ แต่ปีนี้พิเศษตรงที่มีรางวัล แนะนำตัวยอดเยี่ยม ความสนุกจึงบังเกิดตั้งแต่วินาทีแรกทีเดียว

หนิง ศรัยฉัตร (กุญชร ณ อยุธยา) จีระแพทย์ และ แมทธิว ดีน รับหน้าที่พิธีกรประกาศผู้เข้ารอบ 20 คนสุดท้าย ได้แก่ มิสแกรนด์สุราษฏร์ธานี /น่าน /ภูเก็ต / บุรีรัมย์ /ฉะเชิงเทรา /นครพนม/ นครราชสีมา / อุดรธานี /สระแก้ว / นครศรีธรรมราช /อำนาจเจริญ / ยะลา /กระบี่ / จันทบุรี /กำแพงเพชร /ชัยภูมิ / ราชบุรี /นครปฐม /สกลนคร และ สุรินทร์ เริ่มประกาศรางวัลแรก มิสแกรนด์ขวัญใจภูเก็ต ได้แก่ จุ๊กจิ๊ก จิรัชยา สุขอินต๊ะ มิสแกรนด์นครปฐม ,รางวัล สมาย ซิกเนเจอร์ ได้แก่ มอส น้ำอ้อย ชนะพาล มิสแกรนด์ภูเก็ต

20 สาวงามผู้เข้ารอบเดินกลับออกมาอีกครั้งในชุดว่ายน้ำวันพีซสีชมพูสดใส แบรนด์ เอ็มจีไอ (MGI) เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมล้นหลาม พิธีกรประกาศรางวัล ชุดว่ายน้ำยอดเยี่ยม (Best in Swimsuit) ได้แก่ ใบปอ ปิยพร โชพุดซา

มิสแกรนด์กำแพงเพชร คว้ารางวัล 200,000 บาท ไปครอง ตามด้วยการประกาศรางวัล Best Voice Award ได้แก่ มิสแกรนด์ฉะเชิงเทรา แอนนา ชลิดา คอร์วีโน ได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบ 12 คนสุดท้ายเป็นคนแรก รางวัล Miss Popular

Vote ตกเป็นของ มิสแกรนด์สระแก้ว ตังเม เมธาวี ธีรลีกุล   เบิกทางเข้าสู่รอบ 12 คนสุดท้ายอัตโนมัติเช่นกัน ก่อนจะได้ลุ้นระทึกกับการประกาศผู้เข้ารอบอีก 10 คนสุดท้าย ได้แก่ มิสแกรนด์ กำแพงเพชร/ ชัยภูมิ /นครปฐม/ บุรีรัมย์/ ภูเก็ต/ยะลา /สกลนคร/ สุราษฏร์ธานี /สุรินทร์  /อำนาจเจริญ ที่ได้ไปต่อในค่ำคืนนี้ แต่ก่อนจะได้รู้ว่าใครได้รับตำแหน่ง มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ คนต่อไป แพม เปรมิกา พาเมล่า มิสแกรนด์ ไทยแลนด์  2017 พร้อมด้วย อาย ศรุชา นิลจันทร์ รองอันดับ 2 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2017 อุ้ม ทวีพร พริ้งจำรัส รองอันดับ3 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2017 และ แป้งหอม กมลรัตน์ ทานนท์ รองอันดับ 4 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2017 ขึ้นกล่าวอำลาตำแหน่ง

12 สาวงามผู้ผ่านเข้ารอบสุดท้าย กลับออกมาอีกครั้งในชุดราตรียาว สวยงามประณีตจากการออกแบบและตัดเย็บของ ดีไซน์เนอร์ไทยทั้ง 77 จังหวัด พิธีกรประกาศรางวัล Best Director Award หรือ ผู้อำนวยการกองประกวดระดับจังหวัดยอดเยี่ยม ได้แก่ ธีระศักดิ์ ผลงาม PD ภูเก็ต และรองทั้ง 4 ได้แก่ วีรยุทธ อนุจิตรอนันต์ PD ระยอง /นนทัช นิธิพานิช PD อุบลราชธานี /ยุทธนา ปลื้มสำราญ PD ยะลา และ อำนาจ เส้นคราม PD สุรินทร์

มาถึงอีกหนึ่งรางวัลที่กองประกวดมิสแกรนด์ ไทยแลนด์ ต้องการส่งเสริมดีไซน์เนอร์ทั่วประเทศไทย ให้มีชื่อเสียงมากขึ้นจากการออกแบบชุดราตรีทั้ง 77 จังหวัด ล้วนแต่สวยงามหลากหลาย โดยผู้ชนะ Best Designer Award 2018 ได้แก่ผู้ออกแบบชุดราตรีของ มิสแกรนด์สุราษฏร์ธานี โดย กานต์ กาฬภักดี จากร้าน Oat Couture รับเงินรางวัล 100,000 บาท  ผลรางวัลรักแร้งาม ได้แก่  มิสแกรนด์สกลนคร อิ๊ง อิงชนก ประสาตร์ รับรางวัล 200,000 บาท

รางวัลแนะนำตัวยอดเยี่ยม (Best Introduction) ได้แก่ มิสแกรนด์นราธิวาส “นิ้น ศศินา กลิ่นมาลัย” รับรางวัล 50,000 บาท และแล้วมาถึงวินาทีประกาศผลผู้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ได้แก่มิสแกรนด์ ได้แก่มิสแกรนด์ สระแก้ว /มิสแกรนด์ภูเก็ต/มิสแกรนด์บุรีรัมย์ /มิสแกรนด์สกลนคร และ มิสแกรนด์นครปฐมพร้อมตอบคำถามจากคณะกรรมการ แต่ก่อนจะได้รู้ผลว่า มิสแกรนด์ จังหวัดใดจะได้ครอง มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 พิธีกรเชิญ ณวัฒน์ อิสรไกรศีล มอบโทฟี่ให้กับจังหวัดเจ้าภาพในการเก็บตัวผู้เข้าประกวด มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2019 ซึ่งปีนี้ถือเป็นความยิ่งใหญ่อีกครั้งเมื่อภาครัฐเห็นความสำคัญ ในการใช้เวที มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ เป็นตัวขับเคลื่อน ความมั่นคง      อัตลักษณ์ และ วัฒนธรรม ร่วมเป็นเจ้าภาพพร้อมกันถึง 5 จังหวัดชายแดนใต้ได้แก่ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส สตูล และ สงขลา เสียงปรบมือดังกึกก้อง พิธีกรประกาศรางวัล ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน ได้แก่ มิสแกรนด์สระแก้ว “ตังเม เมธาวี ธีรลีกุล” รับรางวัล 50,000 บาท มาถึงรางวัลที่ทุกคนรอคอยนั่นคือ Best National Costume หรือชุดประจำจังหวัดยอดเยี่ยม ตกเป็นของจังหวัด นครศรีธรรมราช

สวมใส่โดย แตงโม ทัศนา แมนโซ รับรางวัล 100,000 บาท รางวัลรองชนะเลิศ 4 อันดับได้แก่ จังหวัดนครพนม /สงขลา / ขอนแก่น และ ปราจีนบุรี สำหรับรางวัลที่เปลี่ยนชีวิต มิสแกรนด์ ทันทีนั่นคือรางวัล Miss Grand Rising Star ได้รับเงินรางวัล 200,000 บาท พร้อมเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงสังกัดช่อง 7 HD ได้แก่ มิสแกรนด์สระแก้ว ตังเม เมธาวี ธีรลีกุล ถือเป็นนางงามที่ได้รับรางวัลมากที่สุด

แล้วมาถึงวินาทีสำคัญยิ่งเมื่อพิธีกรประกาศตำแหน่ง

รองอันดับ 4 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 ได้แก่ มิสแกรนด์สระแก้ว “ตังเม เมธาวี ธีรลีกุล”

รองอันดับ 3 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 ได้แก่ มิสแกรนด์บุรีรัมย์ “บิว นันทภัค ไกรหา”

รองอันดับ 2 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 ได้แก่ มิสแกรนด์สกลนคร “อิ๊ง อิงชนก ประสาตร์”รองอันดับ 1 มิสแกรนด์ ไทยแลนด์ 2018 ได้แก่ มิสแกรนด์นครปฐม จุ๊กจิ๊ก จิรัชยา สุขอินต๊ะ และขอแสดงความยินดี มิสแกรนด์ภูเก็ต “มอส น้ำอ้อย ชนะพาล” ผู้คว้าตำแหน่ง กับ Miss Grand Thailand 2018  ครอบครอง มงกุฎเพชร มูลค่า 1,200,000 บาท สายสะพายเกียรติยศ บ้านพร้อมที่ดิน รถยนต์ 1 คัน และรางวัลอื่นๆมูลค่ารวมกว่า 6 ล้านบาท พร้อมเป็นตัวแทนประเทศไทยไปประกวด มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2018 ที่ประเทศเมียนมาร์ ในเดือน ตุลาคม นี้