ตำรวจ ปกครอง ทหาร ปิดล้อมวัดดังในโคราช จับพระเสพยาบ้า พร้อมของกลาง คากุฏิ 36 เม็ด

ตำรวจ ปกครอง ทหาร ปิดล้อมวัดดังในโคราช จับพระเสพยาบ้า พร้อมของกลาง คากุฏิ 36 เม็ด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. สูงเนินสนธิกำลัง ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ทหาร  ร่วมกันตรวจค้นจุดเป้าหมายตามแผนปฏิบัติการ 383 ของสำนักงานตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งเป็นปฏิบัติการทำลายวงจรยาเสพติด สร้างชุมชนสีขาว  โดยให้ตำรวจภูธรสังกัดภาค 3 ทั้ง 8 จังหวัดดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน เข้าทำการตรวจค้นที่วัด บ้านไร่โคกสูง ตั้งในเขตพื้นที่ ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา  ซึ่งเป็นจุดที่มีพลเมืองดีแจ้งไปยังสำนักงานตำรวจภูธรภาค 3 ว่า เป็นจุดต้องสงสัยอาจจะมีพระที่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด เนื่องจากพบว่ามีวัยรุ่นเข้าออกในกุฏิวัดแห่งหนึ่งบ่อยครั้งในช่องที่ผ่านมา

โดยทำการปิดล้อมกุฏิเป้าหมายเป็น หลังสุดท้ายของวัด ซึ่งเป็นของพระสุข อภินันโท หรือ นายสุข กล่อมบาง อายุ 37 ปี (พระลูกวัด) ซึ่งเป็นพระที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย  จากการตรวจค้นภายในกุฏิดังกล่าวพบสภาพข้างในเต็มไปด้วยเครื่องรางของขลัง ทั้งกระดูกมนุษย์ ไหโบราณ มีดดาบอาคม วางกันอยู่ในสภาพรกรุงรัง สอบสวนเบื้องต้นพระรูปดังกล่าวให้การรับสารภาพว่าเสพยาจริง แต่ไม่มียาเสพติด อยู่ในครอบครอง

ต่อมา เจ้าหน้าที่จึงทำการตรวจค้น อย่างละเอียดจึงพบยาบ้า ซุกอยู่ในกระเป๋าเป้สะพายสี ซึ่งเป็นกระเป๋าประจำตัวของพระสุข รวม 36 เม็ด พร้อมอุปกรณ์การเสพจำนวนหนึ่งภายในกุฏิ นอกจากนี้ยังพบเสื้อกางเกง อยู่ภายในกางเกงด้วยจึงควบคุมตัวไปสอบสวน เบื้องต้นให้การรับสารภาพว่ายาบ้าทั้งหมดเป็นของตนโดยซื้อมาจากวันรุ่นในพื้นที่คนหนึ่งเมื่อสองอาทิตย์ก่อนประมาณ 50 เม็ด  ซึ่งหลังจากที่ซื้อมาแล้ว วัยรุ่นรายดังกล่าวก็ถูกจับไปได้ จากนั้นจึงเสพยาอยู่ในกฏิเรื่อยมาวันล่ะ 2-3 เม็ด ก่อนที่จะมาถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว นอกจากนี้จากการสอบสวนยังทราบว่าพระรูปดังกล่าวชอบแต่งชุดฆราวาสออกไปเที่ยวกลางคืน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวไปทำพิธีลาสิกขาเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.

 

 

 

ตำรวจภาค 3 แถลงข่าว จับเครือข่ายตัดไม้พะยูงในวัดจังหวัดบุรีรัมย์รายใหญ่พร้อมของกลางเพียบ

ตำรวจภาค 3 แถลงข่าว จับเครือข่ายตัดไม้พะยูงในวัดจังหวัดบุรีรัมย์รายใหญ่พร้อมของกลางเพียบ

เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 10 พ.ย.61 ที่ หน้าสำนักงานตำรวจภูธรภาค 3 พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 รรท.ผบช.ภ.3 พร้อมด้วยชุดจับกุม ร่วมกันแถลงข่าวการลักลอบตัดพะยูงในพื้นที่ สภ.ประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ ได้ผู้ต้องหา 7 คน และตรวจยึดของกลาง/ทรัพย์สิน จำนวน 26 รายการ อาทิ ไม้พะยูง 82 ท่อน เลื่อนไฟฟ้า 4 เครื่อง เลื่อนมือ แผ่นบังคับโซ่ โซ่เลื่อนยนต์ สายไฟ เครื่องปั่นไฟ อาวุธปืน รถกระบะยนต์ 1 คัน และรถเก๋ง 1 คันและอื่นๆอีกหลายรายการ

            พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.5 รรท.ผบช.ภ.3 เปิดเผยว่า จากกรณีมีการลักลอบตัดไม้พะยูงในพื้นที่ รับผิดชอบตำรวจภูธรภาค 3 ตามสถานที่ต่างๆล่าสุด ในวัด จังหวัดบุรีรัมย์ คาดว่ามีเจ้าหน้าที่มีสี เข้าไปเกี่ยวข้อง ทางตำรวจได้ปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่ ประโคนชัย 4 จุด ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 7 คน ขณะนี้ได้มีการสืบสวนสอบสวนขยายผล และได้ออกหมายจับ อีก 15 คน โดยจากการสอบสวนข้อเท็จจริง เชื่อว่าอาจจะมีเจ้าหน้าที่บางส่วนให้การสนับสนุน ให้การช่วยเหลือในลักษณะเครือญาติ ส่วนจะเข้ามาเกี่ยวข้องมาน้อยขนาดไหนขอเวลาในการสืบสวนสอบสวน เราจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่ขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะฝ่ายไหนในพื้นที่ภาค 3 ไม่ส่วนส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการลักลอบตัดไม้พะยูงอย่างแน่นอน เป็นเรื่องของแก๊งมอดไม้ ที่รับออเดอร์มาตามคำสั่งนายทุน ส่วน 15 คน ที่ออกหมายจับนั้น ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้าน ที่จ้างมาช่วยขน ช่วยตัด ได้ค่าจ้าง 2,000-5,000 บาทแล้วแต่หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย

            อย่างไรก็ตาม ฝากเตือนประชาชน หากใครมาชักชวนให้มาตัดไม้พะยูง อย่าได้กระทำซึ่งมีโทษติดจำคุก ซึ่งยังไงเจ้าหน้าที่ก็จับได้ ซึ่งขณะนี้ได้สั่งการไปทุกจังหวัดในเขตรับผิดชอบ 8 จังหวัดอีสาน ให้ออกแผนในการป้องกันปราบปรามไม่พะยูงอย่างจริงจัง พร้อมทั้งนำเครือข่ายชาวบ้านในพื้นที่ มาช่วยในการป้องกัน เนื่องจากตำรวจในพื้นที่มีกำลังค่อนข้างน้อย ชาวบ้านต้องช่วยกันสอดส่อง จุดไหนมีไม้พะยูงก็ทำบัญชีขึ้นไว้ จัดเจ้าหน้าที่ ให้มีการเฝ้าระวัง จุดเสี่ยงต่างๆโดยเฉพาะในช่วงเวลา หลังจากตีสองเป็นต้นไป หรือหากพบเบาะแสให้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจใกล้บ้านท่าน หรือ ที่เบอร์ 191

พบซากโครงกระดูกกระทิง อายุ 10 ปี กลางผืนป่ามรดกโลกดงพญาเย็น -ทับลาน อ.ครบุรี โคราช

ชุดเฉพาะกิจป้องกันและปราบปรามการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติผืนป่ามรดกโลก ดงพญาเย็น-ทับลาน โดยนายวิจิตร  กิจวิรัตน์ นายอำเภอครบุรี นครราชสีมา พร้อมนายสมศักดิ์  กาญจนะคช หัวหน้าเขตการจัดการอุทยานแห่งชาติทับลานที่ 3 (คลองน้ำมัน) เจ้าหน้าที่ทหารกองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี ชุดปฏิบัติการ รส.ป.3 พัน.3 , เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ อ.ครบุรีฯ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ครบุรี ฯ สนธิกำลังเข้าตรวจสอบและพิสูจน์ ซากสัตว์ป่า ตามที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ใกล้เคียง บริเวณป่าท้ายบ้านมาบกราด ตำบลโคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พิกัด UTM 48P 0201414 E, 1585615 N (WGS 84)

พบซากกระทิง เพศผู้ อายุ 10 ปี น้ำหนัก 600 กิโลกรัม นอนตายมานาน 3 เดือน ไม่พบร่องรอยบาดแผลเนื่องจากซากกระทิง มีสภาพเหลือแต่โครงกระดูก เนื้อหนังหรือชิ้นส่วนต่างๆ ถูกย่อยสลายไปหมดไม่สามารถตรวจหาร่องรอยสาเหตุการเสียชีวิตได้ จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ช่วยกันขุดหลุมนำซากโครงกระดูกของกระทิง ฝังกลบในพื้นที่ตามความเหมาะสม พร้อมทำบันทึกการตรวจสอบพื้นที่ ส่งให้พนักงานสอบสวน สภ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ร.ต.อ.สุรชัย  จรัสรัมย์ รอง สว.(สอบสวน) เพื่อเป็นหลักฐานต่อไป

ตร.ภ.3ล่อซื้อยาบ้า ซุกกระเป๋ากีตาร์อำพราง ถูกจับพร้อมของกลาง 12,000 เม็ด >>มีวีดีโอ

ตร.ภ.3ล่อซื้อยาบ้า ซุกกระเป๋ากีตาร์อำพราง ถูกจับพร้อมของกลาง 12,000 เม็ด สืบประวัติพึ่งพ้นโทษได้ไม่นาน

วันที่ 1 พ.ย. 2561 พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ (ผบช.ภ.5) รรท.ผบช.ภ.3 พร้อมด้วย พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รอง ผบช.ภ.3 และ พ.ต.อ.สกาญจน์ นิลอ่อน ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.3 ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุม นายอมรวัฒน์ หรือ เบียร์ โพธิ์ไธสง อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 50 หมู่ 10 ต.ท่าหมื่นราม อ.วังทอง จ.พิษณุโลก หลังจากจับกุมได้พร้อมยาบ้า6 มัด จำนวน 12,000 เม็ด กระเป๋ากีตาร์สีดำที่ใช้บรรจุยาบ้าอำพราง 1 ใบ โทรศัพท์มือถืออีก 1 เครื่อง

การจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องพ.ต.อ.สกาญจน์ นิลอ่อน ผกก.สส.3 บก.สส.ภ.3 สืบทราบว่ามีเครือข่ายผู้ค้ายาบ้าที่ขนจากกรุงเทพมาส่งลูกค้าในเขตภาคอีสานรวมทั้ง จ.นครราชสีมา จึงวางแผนให้ชุดสืบ ติดต่อล่อซื้อยาบ้า 1 มัด 2,000 เม็ด ในราคา 50,000 บาท  โดยติดต่อกันทางโทรศัพท์ นัดส่งของกันที่ บ.ข.ส.2 นครราชสีมา เมื่อกลางดึกที่ผ่านมาเมื่อถึงเวลานัดหมาย ชุดจับกุมจึงกระจายกำลังดักซุ่มรอ พบนายอมรวัฒน์  สะพายกระเป๋ากีตาร์มายืนรออยู่หน้าร้านกาแฟอาเมซอนภายใน บ.ข.ส.จึงแสดงตัวจับกุมตรวจค้นพบยาบ้าซุกอยู่ในกระเป๋ากีตาร์จำนวน 6 มัน รวม 12,000 จึงควบคุมตัวมาสอบสวน

เบื้องต้นนายอมรวัฒน์ ให้การรับสาภาพว่า ตนเองพึ่งพ้นโทษคดียาเสพติดออกมาได้ไม่นาน โดยรับจ้างขนยาบ้ามาจากนายเล็ก (นามสมมุติ) ซึ่งเป็นเพื่อนที่รู้จักกันที่บงการอยู่เบื้องหลังให้นำยาบ้ามาส่งได้ค่าจ้างจำนวน 20,000 บาท โดยมีการสั่งการทางโทรศัพท์ รับยามาจากเขตกรุงเทพก่อนที่จะนำไปส่งลูกค่าตามจุดนัดหมายซึ่งนายเล็กเป็นคนสั่งทั้งหมด ก่อนที่จะถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าวเบื้องต้นเจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวดำเนินคดีในข้อหา มียาเสพติดให้โทษประเภท1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายพร้อมกับเตรียมขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ (ผบช.ภ.5) รรท.ผบช.ภ.3 เปิดเผยว่า ยุทธการดังกล่าวเป็นไปตามยุทธการ 383 เป็นแผนปฏิบัติการปราบปรามยาเสพติดทำลายวงจรยาเสพติทุกมิติ สร้างชุมชนสีขาวภาค 3 ใน 3 เดือนในพื้นทีรับผิดชอบ 8 จังหวัด การจับกุมในครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของยุทธการที่ปฏิบัติจนทำให้สามารถจับกุมตัวผู้ค้ายาบ้าได้และจะมีการขยายผลจับกุมตัวผู้ร่วมขบวนการที่เหลือได้ภายในเวลาไม่นาน

 

คนร้ายบุกพังบ้านเสี่ยไร่มันขณะบวชเป็นพระ ได้เงินสด ทองคำ บัญชีเงินฝากรวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท>>มีคลิป

คนร้ายบุกพังบ้านเสี่ยไร่มันขณะบวชเป็นพระ ได้เงินสด ทองคำ บัญชีเงินฝากรวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจากพระจักรา อู่ทอง อายุ 34 ปี   เจ้าของบ้านเลขที่ 135 หมู่ที่ 7 ต.ตะแบกบาน  อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ว่าถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกงัดบ้านพักรื้อค้นเอาทรัพย์สินที่อยู่ในบ้านรวมถึงตู้เซฟบรรจุสิ่งของมีค่า หลบหนีไป ซึ่งทางผู้เสียหายมาพบร่องรอยการงัดเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา  และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังต้องรอหน่วยพิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บหลักฐาน และรอยนิ้วมือแฝงของคนร้ายอีกขั้น

เบื้องต้น พระจักรา เจ้าของบ้าน กล่าวว่า ตนเองนั้นเพิ่งบวชเป็นพระเมื่อเดือนกรกฎาคม 61 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนบวชนั้นได้เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังและผลผลิตทางการเกษตรหลากหลายอย่างทั้ง ที่ดินของตนเองและที่ดินเช่าเหมารวมกับคนอื่นเกือบ 200 ไร่ ซึ่งได้เงินจากการเก็บเกี่ยวมานับล้านบาท แต่ยังไม่ทันได้นำไปฝากทั้งหมดก็ต้องบวชเสียก่อน จึงนำเงินที่เหลืออยู่ไปเก็บไว้ภายในเซฟที่อยู่ภายในบ้าน และส่วนหนึ่งก็จะเก็บไว้ลงทุนต่อ ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั้นไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะภรรยาไปทำงาน แม่ยายกลับไปเยี่ยมบ้านที่อำเภอโนนสูง จ.นครราชสีมา ส่วนลูกก็ไปเรียน ตั้งแต่เช้า

สำหรับทรัพย์สินที่หายไป เป็นเงินสดที่รวบรวมไว้เพื่อเตรียมจะทอดกฐินหลังอออกพรรษาจำนวนอยู่ภายในกระเป๋าที่อยู่นอกเซฟจำนวน 200,000 บาท ส่วนในเซฟมีเงินสด 500,000 บาท ทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 25 บาท รวมถึงบัญชีเงินฝากธนาคารอีก 2 แห่ง รวมเงินในบัญชีประมาณ  1.5 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่สูญหายทั้งสิ้นประมาณ 2.5 ล้านบาทล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดชุดสายสืบลงพื้นที่ติดตามหาข่าวและเก็บข้อมูลหลักฐานต่างมาประกอบการสืบสวนคดีแล้ว และอยู่ระหว่างการรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บหลักฐานเพิ่มเติม

 

 

ตำรวจครบุรีโคราช รวบเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” พร้อมของกลางกว่า 1,200 เม็ด>>มีคลิป

ตำรวจครบุรีโคราช รวบเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” พร้อมของกลางกว่า 1,200 เม็ด

ที่ห้องงานสืบสวน สภ.ครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.กมล วงศ์แสนสาน สารวัตรสืบสวน สภ.ครบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ร่วมทำการสอบากคำ นายนนทพัทธ์ หรือ อ๊อฟ  นินดีสระน้อย อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 140 หมู่ที่ 16 ต.หนองบุญมาก อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา  หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนติดตามจับกุมได้พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1,233 เม็ด เมื่อคืนที่ผ่านมา

โดยการจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ครบุรี ทำการสืบสวนขยายผลจากผู้เสพยาบ้าในพื้นที่ จนทราบว่านายนนทพัทธ์ เป็นหนึ่งในเอเย่นที่นำยาบ้ามาจำหน่ายให้กับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่อำเภอครบุรี จึงทำทีติดต่อขอซื้อยาบ้าจากนายนนทพัทธ์ จนนายนนทพัทธ์ หลงเชื่อและนำยาบ้ามาจำหน่ายให้กับสายลับ ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 110 เม็ด ซึ่งบรรจุถุงสีดำมีตรารูปแอปเปิ้ลใส่มาในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวไปค้นที่บ้านพักตามบัตรประชาชน ที่อำเภอหนองบุญมาก พบยาบ้าเพิ่มอีกจำนวน 1,123 เม็ด จึงนำตัวมาทำการสอบสวนขยายผล

พ.ต.ท.กมล วงศ์แสนสาน สารวัตรสืบสวน สภ.ครบุรี เปิดเผยว่า จากการสืบสวนในเบื้องต้นพบมีหลักฐานการติดต่อซื้อขายยาบ้าผ่านทางโทรศัพท์โดยผู้ต้องหาใช้เฟสบุ๊คในการติดต่อนำยาบ้ามาจากเครือข่ายยาบ้ารายใหญ่ของประเทศคือ แก๊งมันทุกเม็ด และผู้ต้องหาก็ยอมรับว่าติดต่อกลับเครือข่ายดังกล่าวจริง แต่อ้างว่าถูกล่อลวงให้เข้ามาเกี่ยวพัน เนื่องจากเป็นคนที่ไม่มีงานทำ และเครือข่ายแก๊งมันทุกเม็ดก็เป็นผู้ติดต่อเสนองานมาให้ทำจึงสมัครเข้าไปลองทำดู โดยเงื่อนไขในการสมัครต้องส่งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชนและรหัสเข้าถึงเพสบุ๊คไปให้ทางเครือข่ายแก๊ง  จากนั้นก็จะได้รับการติดต่อให้ไปรับสิ่งของมาจำหน่ายโดยที่ผู้ต้องหาไม่รู้ว่าเป็นอะไร  จนเห็นของจึงรู้ว่าเป็นยาบ้า แต่จะถอนตัวก็ไม่ได้เพราะทางแก๊งมันทุกเม็ดข่มขู่ว่าจะส่งคนมาทำร้ายร่างกาย พร้อมกับส่งคลิปการณ์รุมทำร้ายคนอื่นๆมาข่มขู่ จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง  กระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการสวบสวนขยายผลเพิ่มเติมหาเครือข่ายที่ยังเหลืออยู่มาดำเนินคดี ก่อนจะแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ครบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

แม่ร้องสื่อ อ้างลูกชายโดนตำรวจรุมทำร้ายปางตาย!!!!

แม่ร้องสื่อ อ้างลูกชายโดนตำรวจรุมทำร้ายปางตาย  เบื้องต้นแพทย์บอกญาติทำใจ คนเจ็บอาจเป็นอัมพาตตลอดชีวิต>>>มีคลิป<<<

                วันที่ 2 กันยายน 2561 จากกรณี นางฉวีวรรณ ประตูชัย ชาวบ้านส่วย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เข้าร้องต่อสื่อ กรณี เรื่อง ลูกชายชื่อ นายสยาม โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย จ.นครราชสีมา จำนวน 2 นาย รุมทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าสาเหตุมาจากเรื่องอะไร นางฉวีวรรณยังเผยอีกว่าขณะที่ทางด้านแพทย์ผู้รักษา นายสยาม บุตรชาย ได้บอกกับทางตนว่าให้ทำใจ เพราะบุตรชายที่โดนทำร้ายนั้นอาการรุนแรงโดยเฉพาะที่บริเวณต้นคอ โดยจากผลเอ็กซเรย์กระดูกต้นคอแตกและทับเส้นประสาททำให้ ซีกบนของร่างกายอาจจะขยับไม่ได้ตลอดชีวิต

ขณะนี้ทางผู้บาดเจ็บได้นอนรอผลเพื่อรับการผ่าตัดภายในห้องไอซียู โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และภายใน 2-3 วันนี้ ตนจะได้เดินทางเข้าร้องเรียนที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอพิมาย ต้นสังกัดของตำรวจที่ได้รุมทำร้ายลูกชาย เพื่อให้ลูกชายได้รับความเป็นธรรม

นางฉวีวรรณ ประตูชัย กล่าวว่า ทางตนเองอยากจะขอความเป็นธรรมให้ลูกชายผ่านทางสื่อท้องถิ่น  เนื่องจากว่าลูกชายโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจ(คาดว่าเป็นตำรวจสายตรวจ) จำนวน 2 นาย ขี่รถจักรยานยนต์ประกบรถจักรยานยนต์ของลูกชายล้มและจากนั้นได้ตรงมาทำร้ายร่างกาย ซึ่งจากการสอบถามลูกชายผู้บาดเจ็บได้ความว่า ‘ได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดทำร้ายด้วย โดยผู้บาดเจ็บยังได้กล่าวถ้อยคำว่า ‘ผมเจ็บแล้ว เจ็บกระดูกแล้ว’ แต่ทางตำรวจก็ไม่หยุดทำร้าย (ทำร้ายโดยการกระทืบ) สาเหตุคาดว่าน่าจะขอตรวจค้นบางอย่าง แต่ลูกชายก็ไม่กล้าจอดกลัวเป็นพวกมิจฉาชีพเพราะเส้นทางนั้นมันมืดและเปลี่ยวมากประกอบกับมืดแล้ว หลังจากที่โดนทำร้ายนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คาดว่าทางตำรวจที่ทำร้ายคงได้เรียกรถพยาบาลพิมายมารับตัวไปรักษา แต่ผู้บาดเจ็บมารู้สึกตัวก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลอำเภอพิมายตรวจเบื้องต้นพบว่า ผู้บาดเจ็บอาการหนักมาก จึงประสานไปทางโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเพื่อรักษาต่อไป

นางฉวีวรรณ ประตูชัย กล่าวอีกว่า ทางด้านแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาผู้รักษา นายสยาม บุตรชายที่โดนทำร้าย ได้บอกกับทางตนว่าให้ทำใจ แต่สภาพแรกที่เห็นลูกชายโดนทำร้ายอยู่ในห้องไอซียู ต้องใส่ที่ดามคอเยอะไปหมดถึงกับรับสภาพลูกชายไม่ได้ เพราะบุตรชายที่โดนทำร้ายนั้นอาการรุนแรงมาก โดยเฉพาะที่บริเวณต้นคอโดยจากผลเอ็กซเรย์พบว่า กระดูกต้นคอแตกและทับเส้นประสาททำให้ ซีกบนของร่างกายอาจจะขยับไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ทั้งนี้ก็รอการผ่าตัดเผื่ออาจจะมีปาฏิหาริย์กับลูกชายให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เพราะลูกชายตนเองทำมาหากินเป็นเสาหลักคนหนึ่งให้กับครอบครัว ปัจจุบันตนเองก็มีโรคประจำตัวทั้งโรคประสาทและโรคหัวใจตอนนี้เครียดมากกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนเรื่องคดีก็คงจะต้องเดินทางไปที่ สภ.พิมายภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพิมายให้ดำเนินคดีกับ 2 ตำรวจที่ทำร้ายลูกชายตนเองให้ได้รับความเป็นธรรมถึงที่สุด เพราะตำรวจ 2 นายนี้ทำเกินกว่าเหตุจริงๆทำให้ลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจพิการตลอดชีวิต ส่วนความคืบหน้าอย่างไรทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในคราวต่อไป

Cr.โคราชอินไซด์

ชาวบ้านถ่ายคลิปกลุ่มคนร้ายแอบขโมยมะพร้าวในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว คาดก่อเหตุประจำไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ชาวบ้านถ่ายคลิปกลุ่มคนร้ายแอบขโมยมะพร้าวในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว คาดก่อเหตุประจำไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า สามารถถ่ายคลิปภาพ กลุ่มคนใช้รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์ คาดว่า รวมตัวกันเป็นแอบขโมยของออกจาก สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (บุ่งตาหลั่ว) สวนสาธารณะที่สำคัญใน จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 2 คาดว่าน่าจะเป็นการขโมยมะพร้าว หรืออาจจะเป็นปลา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และมีต้นมะพร้าวจำนวนมากรอบริมฝั่ง คาดก่อเหตุเป็นประจำทำลักษณะเหมือนไม่กลัวโดนจับ

คลิปแรกเป็นกลุ่มคน 4-5 คน พร้อมระจักรยาน 2-3 คัน ช่วยกันนำถุงออกจากรั่วกั้นสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว ลักษณะเป็นถุงสีขาวคล้ายมีของหนักอยู่ข้างในคาดว่าจะเป็นมะพร้าว หรืออาจจะเป็นปลาที่แอบเข้าไปหาในอ่างที่อยู่ด้านใน โดยบางส่วนแบกขึ้นบ่าเดินหนี ขณะที่บางคนนำขึ้นท้ายรถจักรยาน ก่อนที่จะนำออกมาและปั่นจักรยานหนีหายเข้าไปใสซอยซึ่งอยู่ตรงข้าโดยในระหว่างขนย้ายถุงดังกล่าว ได้ยินเสียคุยกันเหมือนไม่ใช่คนไทยเกิดเหตุเมื่อกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 18ส.ค. ผ่านมา ขณะที่อีกกลุ่มถ่ายได้ในคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ส.ค.  ซึ่งถ่ายจุดเดียวกันที่อาคารสูงบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เป็นชายคาดเป็นวัยรุ่น 4-5 คน ใช้รถจักรยายนต์ 2 คัน บรรทุกถุงที่นำออกมาจากสวนน้ำดังกล่าว คาดว่าเป็นมะพร้าว โดยคลิปหลังนี้ สามารถบันทึกภาพให้เฉพาะในช่วงที่นำถุงขึ้นท้ายรถขี่ออกไป คาดว่า เป็นคนละกลุ่มกันเนื่องจากใช้ญาณพาหนะไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า ทั้งสองกลุ่ม น่าจะแอบเข้าไปขโมยของซึ่งคาดว่าเป็นมะพร้าวที่อยู่ภายในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว ไม่แน่ใจว่า นำออกไปกิน หรืออาจจะนำไปขายเนื่องจากแอบขโมยไปเป็นจำนวนมาก

สำหรับ สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ ร.9 หรือสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 2 ข้างในสวนมีคาดวามีปลาซึ่งอยู่ในอ่างน้ำเป็นจำนวนมาก และมีต้นมะพร้าวรอบอ่าง คาดว่าน่าจะมีคนแอบขโมยบ่อยครั้ง โดยบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นเขตรอยต่อกับถนนซึ่งติดรอยต่อระหว่างค่ายทหารขับเขตเมือง ซึ่งทางกองทัพได้ทำรั่วกั้นแล้วแต่ก็ปรากฏว่ายังมีคนแอบมาขโมยโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายดังกล่าว จึงอยากวอนเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบด้วยว่าเป็นการขโมยของจากสวนสาธารณะหรือไม่และช่วยป้องกันไมให้เกิดขึ้นอีก

ยังจำกันได้ไหม! 13 ส.ค.2536 โรงแรมรอยัลพลาซ่า โคราช ถล่ม

ยังจำกันได้ไหม!!!!!!! 13 ส.ค.36

ย้อนไปเมื่อวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2536 หรือเมื่อ 25 ปีก่อน คนไทยทั้งประเทศต่างพากันตื่นตะหนกตกใจกับข่าวร้ายครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อเกิดเหตุการณ์อาคารโรงแรมรอยัลพลาซ่า ถนนจอมสุรางค์ยาตร์ กลางเมืองนครราชสีมา พังถล่มลงมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตถึง 137 ราย บาดเจ็บ 227 คน ในจำนวนผู้เสียชีวิตมีข้าราชการครูถึง 47 ราย พนักงานบริษัทเชลล์ฯ 24 ราย พนักงานโรงแรม 33 ราย และผู้มาใช้บริการ 33 ราย โดยมีผู้รอดชีวิตกว่า 150 คน

ยุคก่อนเศรษฐกิจดิ่งเหวไม่กี่ปี จังหวัดนครราชสีมา ในฐานะประตูสู่ภาคอีสาน คลาคล่ำไปด้วยผู้คนที่หนีความวุ่นวายออกไปเสพสุขตามต่างจังหวัด โรงแรมต่าง ๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด หนึ่งในนั้น “โรงแรม รอยัล พลาซ่า” หรือชื่อเดิม “โรงแรม เจ้าพระยาเมืองใหม่” ถือเป็นโรงแรมหรู 1 ใน 5 ของจังหวัด
ปี 2533 กลุ่มผู้บริหารลงความเห็นว่า ควรมีการต่อเติมอาคารจากเดิม 3 ชั้น เป็น 6 ชั้น เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว จากนั้นโรงแรมแห่งนี้ก็มีการต่อเติม และขยายพื้นที่ของอาคารอย่างผิดหลักวิศวกรเรื่อยมา โดยไม่ใส่ใจถึงความปลอดภัยในชีวิตของพนักงาน และแขกที่เข้ามาพักในโรงแรมแม้แต่น้อย เจ้าของโรงแรมได้ลักลอบต่อเติมอาคารอย่างไม่ได้มาตรฐาน โดยเฉพาะการตัดเสาขนาดใหญ่ตรงกลางห้องอาหารของโรงแรมทิ้ง หวังเพิ่มพื้นที่ใช้สอย และต้องการให้แขกสามารถเห็นนักร้องได้ชัดเจนขึ้น และแล้วหายนะครั้งร้ายแรงก็อุบัติขึ้น
เมื่อเวลาราว 10 โมงเช้า วันที่ 13 สิงหาคม พุทธศักราช2536 ตัวโรงแรมเกิดการทรุดตัวอย่างรุนแรง และถล่มลงมาทั้งอาคารในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยตัวโรงแรมเริ่มทรุดตัวจากตอนกลางของอาคารก่อน จากนั้นปีกทั้งสองด้านข้างของอาคารก็พังซ้ำลงมาอีก การทรุดตัวอย่างรุนแรง และรวดเร็วก่อให้เกิดเสียงดังปานฟ้าถล่มดินทลาย ฝุ่นผงจากซากอาคารตลบคลุ้งทั่วบริเวณกองซากปรักหักพังกลบฝังร่างมนุษย์กว่า 500 ชีวิต ทั้งพนักงานโรงแรม และแขกที่เข้าพัก

จากนั้น ศพแล้วศพเล่าก็ถูกลำเลียงออกมา บางศพอยู่ในสภาพสมบูรณ์ บางศพกู้ได้เฉพาะอวัยวะที่มีชิ้นส่วนกระจัดกระจายจำเค้าเดิมแทบไม่ได้ โชคยังเข้าข้างที่มีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่บ้าง ทำให้ผู้ป่วย ที่เข้ารักษาในพื้นที่แน่นขนัดจนแทบล้นโรงพยาบาล

ณ วันนี้ 25 ปีแล้ว กับเหตูการณ์ที่ คนโคราชไม่อาจที่จะลืมได้

โลงศพกลับไม่ถึงบ้าน!!ตายซ่ำตายซ้อนเก๋งชนรถพยาบาลและรถจยย.ดับ

โลงศพกลับไม่ถึงบ้าน!!ตายซ่ำตายซ้อนเก๋งชนรถพยาบาลและรถจยย.ดับ

วันที่8สิงหาคม2561 ร้อยเวร พ.ต.อ.กานต์ สิงช้างชัย สภ.โชคชัย เวลา 13.02น.รับแจ้งจาก1669 ออกตรวจสอบเหตุรถเก๋งชนรถพยาบาลและรถจักรยานยนต์ บริเวณตรงข้ามโรงเรียนสายมิตรโชคชัย ต.พลับพลาจากการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบต่อมาว่า บริเวณก่อนจะถึงจุดเกิดเหตุ ได้มีการตั้งด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โชคชัย ได้มีรถพยาบาลกู้ชีพได้ชะลอรถเพื่อจะเข้าจุดตรวจ โดยมีรถจักรยานยนต์ที่ขับขี่โดยนายนายนรินทร์ สาแก้ว ผู้เสียชีวิตขับชะลอเพื่อเข้าจุดตรวจ ในระหว่างนั้นปรากฏว่ามีรถเก๋งฮอนด้าสีดำที่ขับขี่โดย นส.ธิดาภัทร คันก่อเหตุขับรถมาด้วยความเร็วสูง และไม่สามารถชะลอรถได้ทัน จึงชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ที่เตรียมจอด ทำให้นายนรินทร์เสียชีวิต นอกจากนั้นรถเก๋งยังเสียหลัก พุ่งเข้าชนท้ายรถพยาบาลกู้ชีพของเทศบาลพระนครศรีอยุธยา ที่มีผู้ขับขี่และโดยสารมา 6 คน ที่นำศพมาส่งในเขตจังหวัดนครราชสีมาจนทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต

ในที่เกิดเหตุพบผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตทั้งหมด7ราย บาดเจ็บ4ราย เสียชีวิตมากับรถพยาบาลแล้ว1ราย เสียชีวิตในที่เกิดเหตุเพิ่มอีก1ราย ไม่บาดเจ็บ1ราย ทราบชื่อต่อมา รายที่1ชื่อน.ส.ธิดาภัทร ศรีพรหม อายุ30ปี บ้านเลขที่60/257 หมู่10 ต.โพธิ์กลาง อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา(บาดเจ็บคนขับรถเก๋ง) รายที่2ชื่อน.ส.กนกพร มั่นคง อายุ45ปี บ้านเลขที่118 หมู่8 ต.บางเจ้าฉ่า อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง (บาดเจ็บมารถพยาบาล) รายที่3 ชื่อนายวีรเดช สุขรินทร์ อายุ47ปี บ้านเลขที่84/117 หมู่2 ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา (บาดเจ็บมารถพยาบาล) รายที่4 ชื่อนายสวัสดิ์ สุขรินทร์ อายุ71ปี บ้านเลขที่84/117 หมู่2 ต.สามเรือน อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา (บาดเจ็บมารถพยาบาล) รายที่5 ชื่อนายนรินทร์ สาแก้ว อายุ37ปี บ้านเลขที่97 หมู่6 ต.ตานี อ.ปราสาท จ.สุรินทร์(เสียชีวิตขับรถจักรยานยนต์) รายที่6เล็กน้อยไม่ประสงค์รพ.(พลขับรถพยาบาล)บาดเจ็บ และมีศพมากับรถพยาบาลซึ่งกำจะนำไปส่ง มีผู้ปฎิบัติงานพยาบาล24 พบ.05 ชช.14,25,35,63,60,88,87,71,48,132,112,อาสาปุ้ย ลุกข่ายจุดปักธงชัย พร้อมรถโรงพยาบาลโชคชัย ให้การช่วยเหลือนำผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่งรพ.โชคซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุตามกฎหมายต่อไป