ทนไม่ได้!!กลุ่ม ผอ.โรงเรียนโคราช…วอนรัฐช่วยกรณีขอความเป็นธรรมสนามฟุตซอล

ทนไม่ได้ กลุ่ม ผอ.ร.ร.วอนรัฐบาลช่วยด้วย ออกแถลงการณ์ในนามชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมา ชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตฯ
วันที่13 สิงหาคม 2563 ณ หอประชุมสหกรณ์ออมทรัพย์ครูจังหวัดนครราชสีมา เปิดประชุมชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมาโดยอาจารย์ ดร.ปียะพัชร์ เดชจรรยา ประธานนายปฐมฤกษ์ มณีเนตร ประธานชมรมฯ)กล่าวโฟนอิน พบกับ พลเรือเอก บรรณวิทย์ เก่งเรียน เจ้าของฉายา” นายพลคนกล้า ” สถานีโทรทัศน์ ช่อง13 สยามไทย

ผู้สื่อข่าวได้รายงานว่าการเสวนาปัญหาและผลกระทบกรณี โครงการปรับปรุงสนามกีฬาพร้อมอุปกรณ์งบประมาณ ปี 2555(สนามฟุตซอล ) โดยนายปฐมฤกษ์ มณีเนตร และคณะ ได้มอบเอกสารให้แก่ผู้ร่วมประชุม ในนามชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตเปิดโปงอย่างสร้างสรรค์ รักษาและผดุงไว้ซึ่งจริยธรรมคุณธรรมของสังคม


ต่อมาได้แสดงพิธีให้สัตย์ปฏิญานต่อแผ่นดิน โดยนายสุรัตน์ มุ่งอิงกลางได้ เชิญอาจารย์ปู่ ดร. ปียะพัชร์ เดชจรรยา และผู้มีเกียรติ ขึ้นเวทีและ ประกอบพิธีอัญเชิญปวงเทพเทวา ครูอาจารย์ ชุมนุมเทวดาอาจารย์ และผู้มีเกียรติ โปรยทรายศักดิ์สิทธิและได้เชิญอาจารย์(ดร.ปียะพัชร์ เดชจรรยา ลั่นฆ้องชัย ปี่พาทย์ ประโคม เพลงมหาฤกษ์ผู้เข้าร่วมพิธี ร่วมร้องเพลงครูในดวงใจ
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถาม ผอ.โรงเรียนแห่หนึ่งในจังหวัดนครราชสีมาซึ่งได้โดนคดีฟุตซอล ที่ได้เดินทางมาร่วมประชุมในครั้งนี้แล้วพูดด้วยน้ำตานองเต็มตาสองดวงต่อหน้าผู้ที่มาประชุม กล่าวว่าตนนั้นได้ออกจากราชการแล้ว วอนสื่อช่วยพี่ด้วย

แถลงการณ์จากชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมาชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตฯ
กราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเสนอผ่าน ท่านวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาด้วยชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรม และสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมาชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตฯ และพี่น้องประชาชนทั่วไป มีความห่วงใยประเทศชาติด้วยเกรงว่าจะเกิดความเดือดร้อนวุ่นวายในสังคม ในช่วงระยะเวลาอันใกล้นี้ซึ่งสาเหตุมาจาก


ข้อที่ 1 บุคลากรทางการศึกษา คุณครูในจังหวัดนครราชสีมา ได้ถูกชี้มูลความผิดจาก ป.ป.ช. ถูกลงโทษไล่ออกจากราชการ จำนวน 7 คน และกำลังจะมีคำสั่งไล่ออกอีกจำนวน 55 ราย ในกรณีสนามฟุตซอลที่เป็นข่าวปรากฏตามสื่อต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดี
ข้อที่ 2 บุคลากรทางการศึกษา ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านพิจารณาตรวจสอบพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ชี้มูลความผิดต่อบุคลากรทางการศึกษานั้นได้กระทำอย่างไม่มีพยานหลักฐานอะไรเลยมีอคติ ซึ่งขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา215 เป็นการกระทำแบบเหมาเข่ง เหมือนทำตามความต้องการของใคร คนใดคนหนึ่ง โดยไม่เกรงกลัวกฎระเบียบข้อบังคับใด ๆ ของสังคม อันเป็นการเหยียบย่ำศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของประชาชน อย่างสุดแสนที่จะทนได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากของสังคมไทย
ข้อที่ 3 บุคลากรทางการศึกษาที่เดือดร้อนมิได้ร้องขอสิ่งที่เกินไปกว่าสิทธิอันพึงมีของพวกขาคือ “ศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ตอกย้ำถึงจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ว่า “มนุษย์ยอมทนได้ทุกเรื่อง ยกเว้นความอยุติธรรมจะทนไม่ได้”
ข้อที่ ๔ ทางชมรมฯ เกรงว่าเรื่องนี้จะลุกลามใหญ่โต จะเกิดความวุ่นวายในสังคมไทย จึงขอเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องและประชาชนผู้เสียภาษีในสังคมได้โปรดพิจารณาแก้ไขปัญหาโดยการแต่งตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงกับผู้เกี่ยวข้อง เช่น นักการเมือง, ผู้รับเหมา, คุณครู และอื่นๆเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายโดยเร็ว เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดที่แท้จริงมาลงโทษให้จงได้
ข้อที่ 5 พวกข้าพเจ้า จะขอต่อสู้เคลื่อนไหวในทุกช่องทางที่สามารถทำได้ ภายใต้กฎระเบียบ ข้อบังคับของสังคมไทย ขอกราบเรียนด้วยความเคารพว่านี่เป็นคำสั่งที่อัปยศขององค์กร ป.ป.ช. ที่มีต่อบุคลากรทางการศึกษาที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต
ข้อที่ 6 ตามบทบัญญัติรัฐธรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 215ไต้บัญญัติไว้ว่า องค์กรอิสระเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้น ให้มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ให้เป็นตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย การปฏิบัติหน้าที่และการใช้อำนาจขององค์กรอิสระต้องเป็นไปโดยสุจริต เที่ยงธรรม กล้าหาญ และปราศจากอคติทั้งปวงในการใช้ดุลพินิจ ในประวัติศาสตร์แห่การรวมพลังต่อสู้อย่างทระนงองอาจ ในอดีตที่ผ่านมาของบุคลากรทางการศึกษาของไทย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้วอย่างมากมาย พวกข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าหากปัญหาดังกล่าวนี้ไม่ถูกแก้ไขอย่างทันการณ์ คนไทยอาจได้เห็นปรากฎการณ์เช่นนั้นอีกด้วยความเคารพปรารถนาดีจากชมรมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมาชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตฯ และพี่น้องประชาชนทั่วไป(ดร.ปียะพัชร์ เดชจรรยา) เลขาชมรมคนไม่ทนต่อการทุจริตฯ (นายปฐมฤกษ์ มณีเนตร)ประธานชมพิทักษ์ระบบคุณธรรมและสิทธิครูจังหวัดนครราชสีมา

การประชุมเสวนา และรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชน”การสร้างงานศิลปะประเภทถาวร” มหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2

วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม 2563การประชุมเสวนา และรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชน”การสร้างงานศิลปะประเภทถาวร” มหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2ณ ห้องประชุมปัญจดารา 1 ชั้น 2 โรงแรมปัญจดารา อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาโดยนายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาประธานพร้อมด้วย ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม ภัณฑารักษ์ ศิลปินสื่อมวลชน ประธานชุมชนในขตเทศบาลนครนครราชสีมา นักเรียน นักศึกษา และผู้มีเกียรติทุกท่าน


นายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมากล่าวว่าจากการที่รัฐบาลได้คัดเลือกจังหวัดนครราชสีมาเป็นสถานที่จัดการแสดงมหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2 Thailand Biennale, Korat 2021 ขึ้นระหว่างเดือนมิถุนายน -กันยายน 2564 ซึ่งจะเป็นกิกรรมที่สร้างภาพพจน์และประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์ให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติมากยิ่งขึ้น นับเป็นโอกาสของจังหวัดนครราชสีมาที่ได้เปิดประตูบ้านต้อนรับแขกผู้มาเยือนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติทั้งนี้ การสร้างงานศิลปะถาวร ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ทั้ง 6 แห่ง ของจังหวัดนครราชสีมา นั้น จะทำให้ภาพของเมืองเปลี่ยนแปลไปในทางที่ดีขึ้น เป็นการผสมผสานงานศิลปะ สิ่งแวดล้อม และเมือง ไว้ด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาวจังหวัดนครราชสีมา และการขับเคลื่อนให้จังหวัดนครราชสีมาเป็นเมืองศิลปะอย่างยั่งยืน จึงขอให้ทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในวันนี้ เสนอข้อคิดเห็นอย่างสร้างสรรค์เพื่อจังหวัดนครราชสีมาของเรา และเพื่อการเป็นเจ้าบ้านที่ดีในการเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2 ที่จะเกิดขึ้นในปี 2564ผมขอแสดงความขอบคุณทางสำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย คณะภัณฑารักษ์ศิลปิน และผู้แทน ตลอดจนทุกทนที่เสียสละเวลาเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้


สืบเนื่องจากจังหวัดนครราชสีมา ได้รับการคัดเลือกจากรัฐบาลให้เป็นพื้นที่จัดงานมหกรรมศิลปะนานาชาติ ครั้งที่ 2 Thailand Beinnale, Korat 2021 ระหว่างเดือนมิถุนายน – กันยายน 2564 ทั้งนี้ สำนักงานศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัย กระทรวงวัฒนธรรม คณะภัณฑารักษ์ และจังหวัดนครราชสีมา ได้ลงศึกษาพื้นที่จัดแสดงงาน ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๖๒ เป็นต้นมา และได้พิจารณาคัดเลือกพื้นที่ และศิลปินสำหรับการสร้างงานศิลปะประเภทถาวร จำนวน 6 ผลงาน 6 พื้นที่ ได้แก่
1.ผศ.บุญเสริม เปรมราคา สถานที่ สวนสัตว์นครราชสีมา

  1. นายกฤช งามสม สถานที่ บริเวณ Art Gallery
  2. นายประสิทธิ์ วิชายะ สถานที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
  3. นางสาวรัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง สถานที่ สวนสัตว์นครราชสีมา
  4. Sandra Cinto สถานที่ บริเวณบ่อน้ำพุ สวนสุรนารี
  5. Junya Ishigami สถานที่ บริเวณ Art Gallery
    เนื่องจากจะมีผลงานประเภทถาวร ติดตั้งอยู่ในพื้นที่สาธารณะ จำนวน 3ผลงาน จังหวัดนครราชสีมา จึงได้จัดการประชุมเสวนา และรับฟังความคิดเห็นของประชาชนขึ้นในกระทรวงวัฒนธรรม ภัณฑรักษ์ และศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน มาให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานศิลปะที่จะเกิดขึ้น พร้อมการรับฟังข้อคิดเห็นจากทุกภาคส่วน ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมในวันนี้ประกอบด้วย ศิลปิน ครูศิลปะ ผู้บริหารสถบันการศึกษา ผู้แทนชุมชนในเขตเทศบาลนครนครราชสีมา นักศึกษา และสื่อมวลชน จำนวนทั้งสิ้น 170 คน

นิพนธ์ ชื่นตา” ประชุมคณะทำงานการเมืองภาคประชาชน จ.ขอนแก่น กำหนดทิศทางการทำงานดูแลปัญหาพี่น้องประชาชน

“นิพนธ์” ลุยหารือคณะทำงานเมืองขอนแก่น วางแนวทางช่วยแก้ปัญหาประชาชน
“นิพนธ์ ชื่นตา” ประชุมคณะทำงานการเมืองภาคประชาชน จ.ขอนแก่น กำหนดทิศทางการทำงานดูแลปัญหาพี่น้องประชาชน เผยปัญหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องระบบสาธารณูปโภค ขณะที่ชาวบ้านเป็ดบุกร้องให้ช่วยเคลียร์ปัญหาตั้งเสาสัญญาณใกล้ชุมชน หวั่นกระทบสุขภาพ

เมื่อวันที่ 7 ส.ค.63 นายนิพนธ์ ชื่นตา ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่ประจำกระทรวงมหาดไทย พร้อมด้วย นายวัชรินทร์ ศรีสวย หัวหน้าสำนักงานและเลขาฯ นายนิพนธ์ ชื่นตา, นายบรรหาร บุญเขต ประธานที่ปรึกษาและคณะทำงานด้านการเมืองภาคประชาชน ภาคเหนือตอนล่าง,นายเสรภณ การสมพรต ประธานที่ปรึกษาและคณะทำงานด้านการเมืองภาคประชาชน ภาคกลาง,.ร.ต.อ.ธนาเสฏฐ์ ธนเวชไพบูลย์ เลขานุการประจำนายนิพนธ์ โดยมี นายศรัทธา คชพลายุกต์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น พร้อมคณะทำงานการเมืองภาคประชาชน จังหวัดขอนแก่น ร่วมให้การต้อนรับ พร้อมนำเยี่ยมชมศูนย์ดำรงธรรมขอนแก่น


ในโอกาสเดียวกัน ได้มีตัวแทนชาวบ้านที่พักอาศัยใกล้ค่ายสีหราชเดโชชัย กรมทหารราบที่ 8 พื้นที่ ต.บ้านเป็ด อ.เมืองขอนแก่นได้มายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกรณีได้รับความเดือดร้อน วิตกกังวลจากผลกระทบด้านสุขภาพจากการตั้งเสารับ-ส่งสัญญาณคลื่นโทรศัพท์เคลื่อนที่ค่ายใหญ่เจ้าหนึ่งที่มาตั้งใกล้กับชุมชน
ภายหลังรับหนังสือและซักถามประเด็นปัญหาจากตัวแทนชาวบ้านโดยสังเขปแล้ว นายนิพนธ์ รับปากจะดำเนินการพิจารณาหาทางช่วยเหลือ โดยจะให้คณะทำงานฯ จังหวัดขอนแก่น ดูแลติดตามอย่างใกล้ชิด
หลังจากนั้นนายนิพนธ์พร้อมคณะได้เยี่ยมชมพบปะพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ศูนย์ดำรงธรรมขอนแก่นถึงปัญหาอุปสรรค์การทำงานรับเรื่องราวร้องทุกข์ช่วยเหลือประชาชน ซึ่งได้รับรายงานข้อมูลว่าปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องของระบบสาธารณูปโภค ทั้งถนนหนทาง ไฟฟ้า น้ำประปาฯลฯ
นายนิพนธ์ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวถึงภารกิจหลักที่เดินทางเยือนจังหวัดขอนแก่นในครั้งนี้เพื่อประชุมร่วมกับคณะที่ปรึกษาและคณะทำงานการเมืองภาคประชาชน จังหวัดขอนแก่น ว่าจะกำหนดทิศทางแนวทางการทำงานอย่างไรที่จะดูแลพี่น้องประชาชนให้มีปัญหาการดำรงชีวิตน้อยที่สุด นอกเหนือจากที่ภาคราชการได้ดูแล โดยพวกตนถือเป็นทีมงานของกระทรวงมหาดไทยที่ทำงานในสถานะภาคประชาชน ซึ่งสามารถเข้าหาพี่น้องประชาชนได้สะดวก คล่องตัว รวดเร็วมากกว่า
“จากการลงพื้นที่ในต่างจังหวัด พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นกับภาคประชาชนมีหลากหลาย ทั้งปัญหาที่ทำกิน ปัญหาหนี้สิน ปัญหาเรื่องความยุติธรรม ปัญหาข้อพิพาทระหว่างภาคประชาชนกับภาครัฐหรือองค์กรธุรกิจเอกชน ต้องประสานงานแก้ปัญหากับทุกภาคส่วน” นายนิพนธ์กล่าว


ภายหลังเยี่ยมชมแลกเปลี่ยนข้อมูลประเด็นปัญหาข้อร้องทุกข์ของประชาชนกับผู้แทนศูนย์ดำรงธรรมขอนแก่นเสร็จแล้ว นายนิพนธ์ พร้อมคณะได้มอบมอบรถเข็น (วิลแชร์) จำนวน 5 คัน ให้แก่จังหวัดขอนแก่น โดยมี นางสุจินดา สระคูพันธ์ รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น และคณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดขอนแก่น ร่วมรับมอบ เพื่อนำไปช่วยเหลือประชาชนที่มีความจำเป็นต้องใช้ต่อไป

พิธีเททองหล่อพระพุทธพิทักษ์ประชาอัครบารมี (รุ่น หนุนดวง เพิ่มพูลทรัพย์)

พิธีเททองหล่อพระพุทธพิทักษ์ประชาอัครบารมี (รุ่น หนุนดวง เพิ่มพูลทรัพย์)พระพุทธรูปประจำหน่วยกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 3
ตำรวจภูธรภาค 3 ได้กำหนดจัดพิธีเททองหล่อพระพุทธพิทักษ์ประชาอัครบารมี(รุ่น หนุนดวง เพิ่มพูลทรัพย์) ในการจัดสร้างพระพุทธรูปประจำหน่วยกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษกองบังคับการบสวนตำรวจภูธรภาค 3 ในวันพฤหัสบดีที่ 6 สิ่งหาคม 2563 เวลา 08.30 นาฬิกา ณ กองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการบสวนตำรวจภูธรภาค 3(ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังกองร้อยที่ 1 ศูนย์ฝึกอบรมตำรวจภูธรภาค 3) ตำบลจอหอ อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

โดยมี พล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ผบช.ภ.3ประธานคณะกรรมการอำนวยการ พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรีรอง ผบช.ภ.3ประธานคณะกรรมการจัดสร้าง พ.ต.อ.ต่อวงศ์ พิทักษ์โกศลผกก.ปพ.บก.สส.ภ.3พ.ต.ท.สาธิต คอกขุนทด สว.กก.ปพ.บก.สส.ภ.3 พ.ต.ท.กุณซ์ กุลศิริสว.(ปรก.) กก.ปพ.บก.สส.ภ.3พ.ต.ต.เสริมศักดิ์ มุ่งเงินทอง สว.กก.ปพ.บก.สส.ภ.3ผู้รับผิดชอบดำเนินการกองกำกับการปฏิบัติการพิเศษ กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 3 มีเขตพื้นที่รับผิดชอบรวม 8 จังหวัด อีสานใต้ คือ ชัยภูมิ , นครราชสีมา , บุรีรัมย์ , ศรีสะเกษ , สุรินทร์ , อำนาจเจริญ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นกำลังหลักของ ตำรวจภูธรภาค 3 ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ยุทธวิธีต่าง ๆ และถือเป็นกำลังสำคัญที่คอยสนับสนุนหน่วยงานต่างๆพระที่จัดสร้างพระอาจารย์ วิเชียร จันทสาโร (หลวงพ่อโก) วัดป่าปากโดม อ.พิบูลมังสหาร จวอุบลราชธานีถวายนามว่า “พระพุทธพิทักษ์ประชาอัครบารมี” (รุ่น หนุนดวง เพิ่มพูลทรัพย์ )โดยหล่อเป็นพระเชียงแสน สิงห์ 1 ขัดสมาธิเพชร ขนาด 32 นิ้ว โลหะผสม ปิดทองคำแท้พระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร แบบเชียงแสนสิงห์หนึ่งลักษณะองค์พระ : แบบเชียงแสน ประติมากรรมไทยสมัยเชียงแสน เป็นประติมากรรม ในดินแดนสุวรรณภูมิที่นับว่าสร้างขึ้นโดยฝีมือช่างไทยเป็นพระเกจิอาจารย์ที่ร่วมพิธีมีดังนี้

หลวงปู่สมบุญ ปริปุนฺณสีโล (หลวงปู่บุญ) วัดปอแดง อ.ปักธงชัย จว.นครราชสีมาประธานสงฆ์ พระนั่งปรก 4 ทิศ1. พระครูวิมลภารนาคุณ (หลวงพ่อจื่อ พันธมุตโต) วัดเขาตาเงาะอุดมพร อ.หนองบัวระเหว จว.ชัยภูมิ2. พระครูประโชติปัญญากร (หลวงพ่อคูณ วรปัญฺโญ) วัดบัลลังก์ อ.โนนไทย จว.นครราชสีมา3. พระครูสุนทรคุณวัตร (หลวงพ่อทวี ปุญฺญาธโร) วัดประมวลราษฎร์ หรือ วัดบ้านระกาย ต.จอหอ อ.เมือง จว.นครราชสีมา4. พระอาจารย์วิเชียร จันทสาโร (โก) วัดป่าปากโดม อ.พิบูลมังสาหาร จว.อุบลราชธานีพระสงฆ์สวดชยันโตนิมนต์พระสงฆ์ 9 รูป จากวัดประมวลราษฎร์ หรือ วัดบ้านระกาย โดยนิมนต์พร้อมพระครูสุนทรคุณวัตร (หลวงพ่อทวี ปุญฺญาธโร)ทั้งนี้โดยงบประมาณในการดำเนินการประมาณ 2,000,000 บาท จากผู้มีจิตศรัทธาร่วมบุญ
ระยะเวลาในการสร้างพระ เริ่มประชุมครั้งแรกเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2563 และทำสัญญาจ้างหล่อพระประติมากรรม เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม2563 โดยจะมีพิธีเททองหล่อพระ ในวันที่ 6 สิงหาคม 2563 และรับมอบพระในวันที่ 30 สิงหาคม 2563รวมเป็นระยะเวลาดำเนินการ 75 วัน

และพระแบบเชียงแสน สิงห์ 1 ขัดสมาธิเพชร ขนาดหน้าตัก 32 นิ้วความสูงรวมฐาน 125 ซม. ความยาวฐาน 99 ซม. ความกว้าง 64 ซม.

แบบเหรียญมีดังนี้
-เหรียญทองแดง (ขัดเงา) จำนวน 28,000 เหรียญ เหรียญทองคำ (ขัดเงา) จำนวน ตามจำนวนสั่งจอง (เบื้องต้น 30 เหรียญ)พระพุทธรูป ขนาด 9 นิ้ว จำนวน ตามจำนวนสั่งจอง +8 (นปพ.ในสังกัด)พระพุทธรูปขนาด 5 นิ้ว จำนวน ตามจำนวนสั่งจอง (มีทั้งชนิด ปิดทอง และ รมมันปู) และพระบูชาเช่น แบบพระบูชาขนาดพระ9 นิ้ว2,500 บาท 5 นิ้ว850 บาทแบบรมดำขนาดพระ9 นิ้วแบบ ปิดทอง5,000 บาท 5 นิ้ว 1,600 บาท

“วัดพรหมราช” ชุมชนคุณธรรมรางวัลระดับประเทศ เน้นความพอเพียงอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาท้องถิ่น

          เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2563 นางเอมอร ศรีกงพาน ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย ผศ.รณรงค์ จันใด อาจารย์สาขาวิชานโยบายสังคมการพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เดินทางเข้าเยี่ยมชมการดำเนินงานของชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง วัดพรหมราช ต.ตูม อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา

นางเอมอร ศรีกงพาน ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ในปีนี้ทางจังหวัดนครราชสีมา ได้รับรางวัลชุมชนต้นแบบ เพื่อนำการขับเคลื่อนทางวัฒนธรรม ทั้งด้านศิลปะการแสดง โดยเฉพาะ รำโทนโคราช ที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ รวมถึงอาหารพื้นเมืองพื้นถิ่น อาทิ ข้าวโป่ง พล่าหมี่โคราช มีที่นี่ที่เดียวต้องมาลองชิม นอกจากนี้ในชุมชนของที่นี่มีความสำคัญ โดยเฉพาะพิพิธภัณฑ์ของวัดพรหมราชเก็บวัตถุโบราณอายุเป็นพันปี และชุมชนที่นี่ก็มีความสามัคคีอย่างมาก ในส่วนของการต่อยอดในอนาคต ทางสภาฯเราก็ได้จัดให้มีการประชุมสัญจรแลกเปลี่ยน จัดงานมหกรรมชุมชนของดี และนำไปแลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน เราจัดไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 เราจะไปจัดกันที่จังหวัดยโสธรในปลายเดือนกันยายนนี้ และจากนี้เราก็จะช่วยกันทุกภาคส่วนที่จะต้องผลักดันกัน โดยจะนำนิสิตนักศึกษาจากทุกสภาบันในโคราช โดยจัดตั้งเป็นสภา เยาวชน เพื่อรักษาอนุรักษ์วัฒนธรรมในท้องถิ่นให้คงอยู่ต่อไป

ทางด้าน ผศ.รณรงค์ จันใด อาจารย์สาขาวิชานโยบายสังคมการพัฒนาสังคมและการพัฒนาชุมชน คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทางวัดพรหมราชมีศิลปะวัฒนธรรมภายในชุมชนที่น่าสนใจและควรค่าแก่การอนุรักษ์การสืบทอดต่อไป จากการศึกษาภายในชุมชนมีความเป็นโคราชแท้ มีคุณตาคุณยายที่ยังสืบสานวัฒนธรรมอยู่ โดยเฉพาะหมี่โคราช อาหารท้องถิ่นที่ยังคงมีการสืบทอด และที่สำคัญจริงๆคืออยากให้เด็กและเยาวชนมีบทบาทและส่วนร่วมในเรื่องนี้ เพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมกับขับเคลื่อนอนุรักษ์โดยสภาเด็กและเยาวชนมาร่วมกันตั้งแต่เริ่มต้นเพื่อเกิดความยั่งยืน นอกจากนี้ ทางทีมมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็จะจัดทำวีดีโอและทำ VTR  ในการขับเคลื่อนการจัดการภายในชุมชนตัวอย่าง ไปเผยแพร่ให้กับทุกจังหวัดได้มาดูงานเป็นตัวอย่างเพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ต่อไป

ขณะที่ พระครูโกศล ธรรมวิบูลย์ เจ้าอาวาสวัดพรหมราชและเจ้าคณะตำบลตูม กล่าวว่า วัดแห่งนี้จากการสันนิษฐานตามประวัติศาสตร์นั้นสร้างเมื่อครั้งปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาถึงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ส่วนชื่อวัดพรหมราชนั้น เป็นชื่อของคนชื่อพรหมส่วนราชมาจาก หลังจากนั้นท่านก็ได้บรรพชาเป็นพระภิกษุและได้เทศน์ชื่อ ‘กัณฑ์มหาราช’ ในตอนหนึ่งของเวสสันดรชาดก หลังจากนั้นท่านก็สึกจากพระมาเป็นฆราวาส ผู้คนจึงได้นำชื่อของท่านมาเป็นชื่อวัด นอกจากนั้นในวัดยังมีพระพุทธรูปไม่ปรากฏชื่อ ปางลีลา อายุหลายร้อยปี ซึ่งเราก็ได้ไปเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์วัดพรหมราช ประชาชนที่เข้าวัดมาทำบุญก็สามารถมาไหว้สักการะขอพระได้ นอกจากนี้ เป็นประจำทุกปีวัดเราจะจัดงานนมัสการพระพุทธบาทจำลองจัดมากว่า 96 ปีแล้ว จัดสมโภชยิ่งใหญ่ทุกปีในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ถวายเป็นพุทธบูชา รักษาและสืบทอดวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามในท้องถิ่น สอดคล้องนโยบายชุมชนคุณธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งปีนี้ก็ได้รับรางวัลวัดต้นแบบชุมชนคุณธรรม ซึ่งทางวัดตระหนักว่าวัดคือศูนย์รวมจิตใจของคนในชุมชน มีความสามัคคีในชุมชน

ทั้งนี้ ช่วงบ่าย นางฝน คงศักดิ์ตระกูล นายกเทศมนตรีตำบลด่านเกวียน  ได้ให้การต้อนรับ  นายไชยนันท์  แสงทอง  วัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมาและคณะ สู่ศูนย์การเรียนรู้เครื่องปั่นดินเผา เทศบาลตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย  จังหวัดนครราชสีมา เพื่อศึกษาภูมิปัญญาชาวบ้านผลิตเครื่องปั้นดินเผาที่สร้างชื่อเสียงในระดับประเทศ  และเป็นหมู่บ้านที่ทำเครื่องปั้นดินเผามายาวนานหลายชั่วอายุคน  เอกลักษณ์ที่สำคัญคือ  ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากที่นี่ มีความแข็งแกร่ง ผิวจะมีความวาว มัน มีสีน้ำตาลแดงงดงาม  และดินที่ใช้ปั้นเป็นดินที่มาจากแหล่งคุณภาพที่สุดของจังหวัดนครราชสีมาได้มาจากริมแม่น้ำมูล  ซึ่งปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยว และเป็นอาณาจักรเครื่องปั้นดินเผาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจังหวัดนครราชสีมา 

ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ลงพื้นที่โคราชเพื่อเปิดการเสวนาถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างคณะกรรมการ

นายสัมฤทธิ์  พงษ์วิรัตน์  ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม เป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเสวนาวิชาการเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างคณะกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรม ด้วยพลังการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในพื้นที่ตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ณ ห้องประชุมกรองแก้ว โรงแรมแคนทารีโคราช

โดยในวันนี้กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ในฐานะหน่วยงานกลางในการวางแผน ส่งเสริมสนับสนุนการดำเนินงาน และประสานงานความร่วมมือระหว่างส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจองค์กรเอกชน ประชาชน และสถาบันต่าง ๆ ในด้านการดำเนินงานวัฒนธรรมของชาติทั้งในระดับท้องถิ่น และระดับชาติ เพื่อที่จะรักษาและดำรงไว้ซึ่งวัฒนธรรมอันดีงาม รวมทั้งให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของวัฒนธรรม จึงได้ดำเนินการจัดตั้งสภาวัฒนธรรมตามพระราชบัญญัติวัฒนธรรมแห่งชาติ พ.ศ. 2553 และกฎกระทรวงที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้มีการขยายเครือข่ายการดำเนินงานด้านวัฒนธรรมในพื้นที่ในลักษณะการกระจายอำนาจทางวัฒนธรรม มุ่งเน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ และขับเคลื่อนการดำเนินงานวัฒนธรรมในท้องถิ่นตนเอง ในรูปแบบต่าง ๆ

ที่สามารถสร้างกระแสการรับรู้ทางด้านวัฒนธรรมไปสู่ชุมชนท้องถิ่นได้อย่างกว้างขวาง

ในการนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา ได้ดำเนินการจัดประชุมเสวนาวิชาการเผยแพร่และถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการพัฒนาโครงสร้างคณะกรรมการบริหารสภาวัฒนธรรม

โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมฯ จำนวน 40 คน ประกอบด้วย ผู้แทนจาก

สภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา และผู้แทนองค์กรภาคีเครือข่ายทางวัฒนธรรม

ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคธุรกิจ และองค์กรชุมชน กิจกรรมประกอบ ด้วย

1. การบรรยายพิเศษนำเสนอนโยบายการดำเนินงานวัฒนธรรม/ที่มาและความสำคัญของสภาวัฒนธรรมต่อการดำรงอยู่ของวัฒนธรรมในพื้นที่

2. การนำทุนทางวัฒนธรรมมาสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

3. แนวทางการบริหารจัดการองค์กรที่ประสบความสำเร็จและเข้มแข็งด้วยตัวเองอย่างยั่งยืน

4. การระดมความคิดเห็นโดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการดำเนินงาน

ของสภาวัฒนธรรม และการนำนโยบายไปขับเคลื่อนในพื้นที่ รวมถึงปัจจัยที่นำไปสู่

ความสำเร็จของการดำเนินงาน โดยการมีส่วนร่วมของเครือข่ายในพื้นที่ และเพื่อระดมทรัพยากร บุคลากร และสรรพกำลังต่างๆ จากหน่วยงานและองค์กรต่างๆ ในพื้นที่ เพื่อการดำเนินงานวัฒนธรรม

แม่วอนช่วยลูกชายป่วยหนัก ตัวเองยังมาป่วยเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบ ไม่มีเงินรักษา พิกัด อ.เทพารักษ์โคราช

คุณแม่ลัดดา ชื่นนอก ชาวบ้านห้วยน้ำเค็ม ต.บึงปือ อ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือครอบครัวด้วย เนื่องจากลูกชายป่วยหนัก ไม่มีเงินรักษาลูก และตนเองก็มีอาการป่วยด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ตอนนี้ต้องผจญกับอาการป่วยของตัวเองและคิดหนักเรื่องรักษาลูกจนร่างกายทรุดโทรมลงไป จึงมาขอวอนผู้ใจบุญช่วยเหลือครอบครัวของตนเองด้วย คุณแม่ลัดดา ให้ข้อมูลว่า ตนเองมีลูก 3 คน คนโตเป็นผู้หญิงมีครอบครัวแล้ว อาชีพทำไร่ทำสวน ไม่มีรายได้ประจำ พ่อแม่และน้องชายป่วยก็ต้องมาอยู่ดูแลแม่ที่บ้าน คนที่ 2 คือนายนพดล หวังหยิบกลาง ลูกชายคนที่ป่วยหนัก ก่อนที่ลูกชายจะป่วยก็ได้ไปทำงานอยู่ที่จ.ปทุมธานี หาเงินส่งมาให้แม่และส่งน้องสาวคนเล็กเรียนหนังสือ ซึ่งปัจจุบันก็ต้องออกจากโรงเรียนเนื่องจากไม่มีเงินและต้องมาอยู่บ้านช่วยดูแลแม่ด้วย เป็นเสาหลักของครอบครัว เมื่อเดือนมีนาคม 2563

ที่ผ่านมา ลูกชายก็เริ่มมีอาการป่วยไปหาหมอที่จ.ปทุมธานีตรวจพบว่าลิ้นหัวใจรั่วจึงได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาล ต่อมาต้องย้ายกลับมารักษาตัวต่อที่ จ.นครราชสีมา บ้านเกิดเนื่องจากไม่สะดวกเรื่องเงินค่ารักษา หลังจากนั้นประมาณ 3 เดือนอาการแทรกซ้อนต่างๆก็เริ่มมีมากขึ้น มีอาการแขน ขา บวม และปวดมาก จนเมื่อวันที่ 29 กรกฤาคม 2563 มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ญาติจึงได้พาไปหาหมอที่ รพ.มหาราช จ.นครราชสีมา และหมอได้นัดว่า วันที่ 6 สิงหาคม 2563 ให้มาพบหมอเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคหัวใจ วันที่เดินทางกลับจาก รพ.มหาราช อาการของลูกชายก็กำเริบอีกมีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง ญาติจึงพาไปหาหมอที่ รพ.เทพารักษ์ จ.นครราชสีมา หมอบอกว่าคนป่วยมีอาการหนักมาก อาจจะมีการติดเชื้อในกระแสเลือดและปอดติดเชื้อ จึงได้ทำการส่งตัวคนป่วยต่อไปยัง รพ.มหาราช ทันที

ตอนนี้คนป่วยนอนอยู่ในห้อง ไอซียู ญาติๆต้องสลับกันเดินทางมานอนเฝ้าคนป่วยทำให้ ทางครอบครัวมีความลำบากมากเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาและการเดินทางต่างๆอีกทั้งคุณแม่เองก็อาการป่วยทรุดหนักตามไปด้วยอีกคน ทางครอบครัวจึงอยากวิงวอนผู้ใจบุญช่วยเหลือด้วย สำหรับผู้ใจบุญที่ประสงค์จะช่วยเหลือครอบครัวของคุณแม่ลัดดา ชื่นนอก สามารถโอนเงินช่วยเหลือเข้าบัญชีของคุณแม่ได้โดยตรงที่ บัญชีธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ สาขาเทพารักษ์ เลขที่ 020152088016

แถลงข่าวรวมพลคนหัวใจเสือเพื่อสุขภาพสู้โควิด TOUR OF KORAT 2020 ใจเกินร้อย ครั้งที่ 7 จักรยานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี 2563

วันที่ 31 กรกฎาคม 2563 เวลา 13.00 น. ณ เดอะมอลล์โคราช ได้จัดให้มีการแถลงข่าว กิจกรรม Tour of Korat 2020 ใจเกินร้อย ครั้งที่ 7 จักรยานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ประจำปี 2563 โดยได้รับเกียรติจาก นายศักดิ์สิทธิ์ สกุลลิขเรศสีมา รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมาเป็นประธานในการแถลงข่าวครั้งนี้ ร่วมกับ นายธนิต จิตละมัย ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมา ดร.สราวัธ กุสุมภ์ หัวหน้างานวิทยาศาสตร์การกีฬาภูมิภาค ผู้แทน ผู้อำนวยการการกีฬาแห่งประเทศไทย ภาค 3 นายฐิติรัตน์ พงษ์พุทธรักษ์ นายกสมาคมนักข่าว จังหวัดนครราชสีมา นายชาญชัย บัวสรวง ประธานสโมสรกีฬาจักรยาน จังหวัดนครราชสีมา และ นายชินาพัฒน์ พิมพ์ศรีแก้ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด ร่วมในการแถลงข่าวครั้งนี้


สำหรับกิจกรรม Tour of Korat 2020 ใจเกินร้อย ครั้งที่ 7 จักรยานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ประจำปี 2563 จัดขึ้นเพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวงานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารีประจำปี 2563 เพื่อรณรงค์ให้เยาวชนและประชาชนออกกำลังกายเพื่อสุขภาพและใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ เพื่อเป็นการส่งเสริมการเดินทางด้วยจักรยานและเป็นการรณรงค์ให้ประชาชนและบุคคลทั่วไปหันมาร่วมมือกันลดสภาวะโลกร้อน และเพื่อส่งเสริมงบประมาณสนับสนุน สโมสรกีฬาจักรยาน จังหวัดนครราชสีมา เพื่อพัฒนาความสามารถและทักษะไปสู่การแข่งขันกีฬาระดับชาติ อีกทั้งการจัดกิจกรรมครั้งนี้ยังได้ร่วมช่วยเหลือองค์กรสาธารณะอื่น ๆ อีกด้วย
แต่เนื่องจากในห้วงของเดือนมีนาคม 2563 ประเทศไทยได้ประสบปัญหาการระบาดของโรคโควิด 19 จึงไม่สามารถที่จะดำเนินกิจกรรมได้ ทางคณะผู้จัดจึงได้เลื่อนการปั่นจักรยานมาเป็นเดือนสิงหาคม ทั้งนี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้อนุญาตให้สามารถจัดกิจกรรมการปั่นจักรยานได้ โดยต้องปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วย การรักษาระยะห่าง และต้องทำการวัดอุณหภูมิบุคคลที่จะเข้ามาภายในกิจกรรมดังกล่าว


Tour of Korat 2020 ใจเกินร้อย ครั้งที่ 7 จักรยานฉลองวันแห่งชัยชนะของท้าวสุรนารี ประจำปี 2563 เป็นการปั่นจักรยานทางเรียบ ระยะทาง 65 กิโลเมตร 20 กิโลเมตร และรุ่น VIP โดยจะมีการแข่งขันประเภททีม เพื่อรับถ้วยรางวัลจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กิจกรรมดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 07.00 น. เป็นต้นไป ณ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา โดยผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามและขอใบสมัครได้ที่ สโมสรกีฬาจักรยาน จังหวัดนครราชสีมา เดอะมอลล์นครราชสีมา หมายเลขโทร 044 – 267 411 และ 086 – 261 6661 ID Line: TOUROFKORAT19 , FB: Tout of Korat จักรยานฉลองชัยชนะท้าวสุรนารี

ชาวบ้านสุดทน รอนานกว่า 10 ปี รวมตัวกันกว่า 500 คน ประท้วงปิดถนน ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี

ชาวหนองบุญนาก “สุดทน”รวมตัวกว่า 500 คน ปิดถนน!!!ยื่นหนังสือสำนักนายกฯ หลัง อบจ.เมินซ่อมถนน


ชาวบ้านตำบลหนองบุญนาก อำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา นัดรวมตัวแสดงพลังเพื่อขอเจรจากับทางจังหวัดและ อบจ.โคราชหลังยื่นหนังสือให้เรียกร้องให้มาดำเนินการซ่อมแซมถนนที่ชำรุดนานกว่า 10 ปี แต่ไร้หวี่แววการเข้ามาซ่อมแซม จึงรวมตัวชาวบ้านกว่า 500 คน ปิดถนนเรียกร้องลงมาขอยื่นหนังสือต่อตัวแทน สส.ในพื้นที่และสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ผลักดันถนนเส้นนี้ ให้สำเร็จเพราะชาวบ้านเดือดร้อนนานหลายสิบปี

นายสุเทพ ทันค้า ตัวแทนชาวบ้านตำบลหนองบุญนาก และอดีตรองนายก อบต. หนองบุญนาก ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่าทางตนในฐานะกลุ่มแกนนำชาวบ้าน ผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อสม. และตัวแทนจากองค์การบริหารตำบลหนองบุญนาก นายก อบต. พร้อมสมาชิกสภาฯ อบต.หนองบุญนาก ได้นับรวมตัวชาวบ้านกว่า 500 คน เพื่อมาแสดงพลังในการร่วมผลักดันให้ทางจังหวัดหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ อำเภอหนองบุญมากและทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดสรรงบประมาณลงมาช่วยแก้ไขปัญหาถนนชำรุดระหว่างบ้ายชัยตะคร้อ-บ้านหัวทำนบ ซึ่งมีสภาพเป็นโคลน หลุม บ่อ จำนวนมาก ซึ่งมีระยะทางกว่า 12 กิโลเมตร โดยไม่มีการแก้ไขมานานนับ 10 ปี ชาวบ้านที่สัญจรไปมาลำบากเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะหน้าฝน มีน้ำขัง แถมยังเป็นหลุมบ่อตลอดเส้นทาง การขนพืชผลทางการเกษตร การสัญจรเป็นไปอย่างล่าช้า การขนคนเจ็บป่วยเวลาฉุกเฉินมีความลำบากมาก เด็กนักเรียนเดินทางไปโรงเรียน ซึ่งมีความลำบากที่สุด

ซึ่งเส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางหลักในการใช้สัญจรไประหว่างอำเภอหนองบุญมากไปยังอำเภอครบุรี และอำเภอเสิงสางได้ มีการสัญจรของชาวไร่ ชาวนา และประชาชนจำนวนมาก แต่ไม่ได้รับการแก้ไขทั้ง ๆ ที่ยื่นเรื่องขอแก้ไปจากทาง อบต.หนองบุญมาก หลายครั้ง รวมทั้งชาวบ้านเองก็ร้องเรียนไปยัง อบจ.นครราชสีมา หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานออกมารับผิดชอบแต่อย่างใด ทางตนและแกนนำชาวบ้านจึงได้นัดรวมตัวกัน วันที่ 27 กรกฎาคม 2563 เพื่อเรียกร้องขอความเป็นธรรมต่อตัวแทนสำนักนายกรัฐมนตรี ให้นำเรื่องเสนอต่อนายกรัฐมนตรี นายกประยุทธ จันทร์โอชา ให้นำเรื่องความเดือดร้อนเร่งแก้ไขให้กับทางชาวบ้านตำบลหนองบุญมากต่อไป

ทางด้าน ส.ส.อภิชา เลิศพชรกมล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครราชสีมาเขตอำเภอโชคชัย-หนองบุญมาก ได้รับการประสานงานของกลุ่มแกนนำชาวบ้านจึงได้ส่งตัวแทน คือ ส.ส.พีระวิทย์ เรื่องลือดลภาค หัวหน้าพรรคไทรักธรรม ได้เดินทางมาพบกับกลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวประท้วงพร้อมรับหนังสือร้องเรียนจากทางแกนนำ และได้พูดคุยกับผู้ชุมนุมว่า ตนมาในฐานะตัวแทนสำนักนายกรัฐมนตรี ตนเดินทางมาก็รู้สึกว่าถนนเส้นนี้สัญจรไปมาลำบากเป็นอย่างมาก ตนจะได้นำเรื่องไปพูดคุยกับ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในช่วงวันพฤหัสบดีนี้ เพื่อขอดำเนินการส่งเรื่องพิจารณาเป็นกรณีเร่งด่วน ส่งถึงจังหวัดและ อบจ.นครราชสีมา ให้ลงมาแก้ไขโดยด่วน หากทางจังหวัดและ อบจ.นครราชสีมาไม่สามารถดำเนินการ ตนจะขอให้รัฐบาลดึงเงินจาก อบจ.นครราชสีมา กลับคืนสู่แผ่นดิน และเอางบลงมาดำเนินการให้พี่น้องชาวหนองบุญมากที่เดือดร้อนต่อไป และจะหารือกับท่านนายกรัฐมนตรี นายประยุทธ จันทร์โอชา เพื่อให้การช่วยเหลือโดยด่วน ต่อไป

สพร. 5 นครราชสีมา จัดสัมมนาเครือข่ายผู้ประกอบการ SME

ที่ห้องประชุมโรงแรมซิตี้พาร์ค อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ร้อยเอกกิจสมพงษ์ กล้าหาญ แรงงานจังหวัดนครราชสีมา เป็นประธานเปิดการสัมมนาโครงการสัมมนาเครือข่ายผู้ประกอบการ SME และเครือข่ายเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ประจำปีงบประมาณ 2563 โดยมีหน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ ผู้ประกอบกิจการ SME กลุ่ม otop กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้นำชุมชน และผู้นำกลุ่มอาชีพ รวมทั้งสิ้นจำนวน 85 คน

    โดยแรงงานจังหวัดนครราชสีมา  กล่าวว่า  ผู้ประกอบธุรกิจ SME ในจังหวัดนครราชสีมา             มีกว่า 9,000 แห่ง  มากถึง 97 %  ของกลุ่มผู้ประกอบการทั้งหมด  ดังนั้น  จึงต้องมีการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เนื่องจากการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน  เป็นเรื่องสำคัญที่สามารถแสดงถึงประสิทธิภาพในการทำงาน  ของปัจจัยการผลิตด้านแรงงาน  เพื่อใช้เปรียบเทียบผลงานทางด้านเศรษฐกิจ โดยการวัดจากอัตราส่วนของผลผลิตกับจำนวนแรงงานในระบบเศรษฐกิจ
    โดยในช่วงเกือบ 10 ปี ที่ผ่านมา  ผลิตภาพแรงงานของประเทศไทยขยายตัวอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ  และมีแนวโน้มลดลง สะท้อนว่าประเทศไทยมุ่งเน้นปัจจัยด้านเงินทุน  และปริมาณแรงานมากกว่าการพัฒนาคุณภาพแรงงาน  ทำให้ไม่สามารถพัฒนาไปสู่การใช้เทคโนโลยีชั้นสูง  เพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตได้ กรมพัฒนาฝีมือแรงงานในฐานะหน่วยงานภาครัฐ   ที่มีภารกิจในการขับเคลื่อนผู้ประกอบกิจการและแรงงานให้มีขีดความสามารถในการแข่งขัน  จึงได้จัดทำ โครงการเพิ่มผลิตภาพแรงาน สู่ SME 4.0 ขึ้น  โดยมีเป้าหมายในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบกิจการ SME กลุ่ม OTOP กลุ่มวิสาหกิจชุมชน/   หรือกลุ่มสหกรณ์  ผ่านกระบวนการเพิ่มผลิตภาพแรงงานผลักดัน  ให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์  นวัตกรรมแปลกใหม่  และการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อรองรับการพัฒนาสู่ SME 4.0 

ว่าที่ร้อยตรี สมศักดิ์ พรหมดำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 5 นครราชสีมา

    กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน  จึงมอบหมายให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 5 นครราชสีมา                   จัดสัมมนาเครือข่ายผู้ประกอบการ SME และเครือข่ายเพิ่มผลิตภาพแรงงาน  ประจำปีงบประมาณ 2563 ขึ้น เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้รับทราบข้อมูลข่าวสาร  และทิศทางแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในยุค 4.0  สมรรถนะที่จำเป็นในการที่จะเป็นผู้ประกอบกิจการในอนาคต  และสร้างความเชื่อมั่นในกระบวนการให้คำปรึกษาการเพิ่มผลิตภาพแรงงาน  และขับเคลื่อนการพัฒนาผู้ประกอบกิจการ  เพื่อสร้างความเข้มแข็งกับเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ