เทศกาลสินค้าโครงการหลวงดอกไม้กินได้

กูร์เมต์ มาร์เก็ต ชวนชาวโคราช ช้อป ชิม หลากหลายสินค้า

และเมนูอร่อย ดีต่อสุขภาพ ในบรรยากาศกาดดอยแสนม่วนอกม่วนใจ๋

ที่งาน “เทศกาลสินค้าโครงการหลวง:ดอกไม้กินได้”

กูร์เมต์ มาร์เก็ต และ เดอะมอลล์ โคราช ร่วมกับ มูลนิธิโครงการหลวง จัดงาน “เทศกาลสินค้าโครงการหลวง: ดอกไม้กินได้” ชวนชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียง ร่วมลิ้มลองความอร่อยกับเมนูสุดพิเศษเฉพาะงานนี้ ที่รังสรรค์ขึ้นจากวัตถุดิบและดอกไม้กินได้จากโครงการหลวง พร้อมด้วยสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพทั้ง ผัก ผลไม้ ดอกไม้กินได้ รวมถึงผลิตภัณฑ์แปรรูปมากมาย พร้อมเมนูอิ่มอร่อยจากอาหารพื้นเมือง ที่ปรุงด้วยวัตถุดิบโครงการหลวง กว่า 10 เมนู ในบรรยากาศกาดดอยแสนม่วนอกม่วนใจ๋ ระหว่างวันที่ 5 – 12 มกราคม 2565 ที่ Grand Hall ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช

6 มกราคม 2565 เวลา 14.00 น. ที่ Grand Hall ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช พลเอก กัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “เทศกาลสินค้าโครงการหลวง : ดอกไม้กินได้”พร้อมด้วย พลโท สวราชย์ แสงผล แม่ทัพภาคที่ 2 นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นางณัฏฐินีภรณ์ จันทรโณทัย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครราชสีมา พลตำรวจตรี พรมณัฏฐเขต ฮามคำไพ รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 คุณพัชรินทร์ เก่งกาจ หัวหน้าฝ่ายผลิตผลและผลิตภัณฑ์แปรรูป มูลนิธิโครงการหลวง คุณศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ผู้อำนวยการใหญ่บริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด คุณพลอยชมพู อัมพุช ผู้จัดการใหญ่บริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด และ คุณชินาพัฒน์ พิมพ์ศรีแก้ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด ให้การต้อนรับ

 กลับมาส่งตรงความสด อร่อย แบบได้สุขภาพให้กับชาวโคราชและจังหวัดใกล้เคียงอีกครั้ง กับงาน “เทศกาลสินค้าโครงการหลวง” ภายในคอนเซ็บท์ “ดอกไม้กินได้” พร้อมจำลองบรรยากาศและกลิ่นอายการตกแต่งที่สวยงามเหมือนยกกาดดอยมาได้ม่วนอกม่วนใจ๋ โดยภายในงานรวบรวมสินค้าและผลิตภัณฑ์คุณภาพจากโครงการหลวงทั้ง ผัก-ผลไม้ ผลิตภัณฑ์แปรรูปมากมาย กว่า 150 รายการ อาทิ ผักเคล และผักสดหลากหลายชนิด,  สตรอเบอร์รี่, เคปกูสเบอร์รี่, เสาวรส, ฟักทองญี่ปุ่น,มะเขือเทศเชอรี่, ปลาเรนโบว์เทร้าต์, ขนมปังมันเทศญี่ปุ่น มินิ, ไข่ไก่อินทรีย์โครงการหลวงที่เลี้ยงแบบปล่อยธรรมชาติไม่ใช้ฮอร์โมนไม่ใช้สารเร่ง, กาแฟดริปโครงการหลวง กาแฟ 100% อะราบิก้า จากแหล่งปลูกแม่ลาน้อย ที่มีสภาพอากาศเหมาะสม ปลูกภายใต้ร่มไม้ใหญ่ และสภาพหุบเขาที่โอบล้อม ทำให้ได้เมล็ดกาแฟคุณภาพ มีให้เลือก 2 แบบ คือ คั่วกลาง กับ คั่วเข้ม, เนยแข็งเฟต้า ผลิตจากนมควายผสมนมแพะ นิยมรับประทานกับสลัด บีบให้เนื้อร่วนโรยหน้าสลัด โรยหน้าพิซซ่า หรือทานกับผลไม้, ผักเคลผง สินค้าใหม่ที่คุณค่าทางโภชนาสูง อัดแน่นไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุเป็นราชินีแห่งผักใบเขียว ฯลฯ พร้อมพบกับไฮไลท์ “ดอกไม้กินได้” อาทิ ดอกเนสเตอร์เตียม (Nasturtium) มีสีขาว ครีม ชมพู เหลือง ส้ม และแดง มีกลิ่นหอม ใบมีรสเผ็ด จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า Indian Cress ดอกและใบนิยมมารับประทาน เป็นผักสดมีรสเผ็ดและให้กลิ่นหอมคล้ายกับวอเตอร์เครส นิยมใส่ในสลัดเพื่อเพิ่มสีสันและรสชาติ ดอกกุหลาบ (Rose) มีหลากหลายสีสัน เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ มีสรรพคุณช่วยลดกลิ่นตัว ขับเหงื่อ ขับสารพิษ ช่วยบำรุงหัวใจ และเป็นยาระบายอ่อน ๆ กลีบบางชนิดนำมาทำเป็น “ชาดอกกุหลาบ” บางชนิดนำมาทำเป็นอาหาร เช่น นำไปยำกับเนื้อสัตว์ ชุบแป้งทอด ใส่ในไข่เจียว หรือจะทำเป็นสลัดได้เช่นกัน, ดอกบีโกเนีย (Begonia) ตัวดอกมีความกรอบชุ่มฉ่ำเหมือนผักสลัดสด ๆ มีรสชาติเปรี้ยว เหมือนยอดมะขามอ่อน เหมาะสำหรับอาหารทุกประเภทที่ต้องการตัดรสเลี่ยน หรือแม้กระทั่งทำเป็นเครื่องดื่มเพื่อเติมความสดชื่นระหว่างวัน มีสรรพคุณช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร

 พร้อมกันนี้เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสและลิ้มลองความอร่อยของวัตถุดิบคุณภาพจากโครงการหลวง กูร์เมต์ มาร์เก็ต ได้รังสรรค์ 4 เมนูสุดพิเศษ โดยเชฟ You Hunt We Cook ซึ่งมีจำหน่ายเฉพาะงานเท่านั้น ได้แก่ สลัดโรลผักเคลกับดอกไม้โครงการหลวง (Salad Roll with kale Flower) ราคา 90 บาท, ผักเคลเบคอนอบครีมชีส (Bake kale & bacon cream cheese) ราคา 150 บาท, ปลาเรนโบว์เทราต์ ย่างกับซัลซ่ามะเขือเทศโครงการหลวง (Grilled Trout decorations with Cherry Tomato Salsa) ราคา 250 บาท, ปลาเรนโบว์เทราต์ ย่างซอสสมุนไพรกับข้าวโครงการหลวง (Grilled Trout with Thai Herb and Rice) ราคา 250 บาท และนอกจากนี้ภายในงานยังได้คัดสรรอาหารเหนือแบบพื้นเมืองแท้ ๆ และยังใช้วัตถุดิบจากโครงการหลวงในการปรุงเมนูมาให้ได้เลือกลิ้มลองความอร่อยมากมาย อาทิ ข้าวเหนียวงาดำ มีส่วนผสมพิเศษในส่วนของข้าวเหนียวธัญญะพืชที่ได้ใช้ งาดำ    และงาหอม ผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวงมาเป็นส่วนผสมซึ่งอุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์, ข้าวซอยปลาเทร้าต์ทอด อาหารขึ้นชื่อของชาวเหนือ ใช้ปลาเทร้าต์จากโครงการหลวง ทอดในน้ำมันร้อน ๆจนเหลืองกรอบ ทานพร้อมเส้นและราดน้ำแกงข้าวซอย เพิ่มความอร่อยด้วยเครื่องเคียงต่าง ๆ, ผัดไทไข่ไก่โครงการหลวง เมนูอาหารจานเด็ดซึ่งทางร้านได้นำไข่ไก่โครงการหลวงที่ปล่อยตามธรรมชาติ ไก่ไม่เครียด ไม่ใช้ฮอร์โมนเร่งไม่ใช้สารเร่งสีไข่แดง เลี้ยงด้วยผลผลิตอินทรีย์ ซึ่งไข่ไก่อินทรีย์จะปลอดจากสารพิษ, น้ำพริกหนุ่ม พร้อมผักเครื่องเคียงโครงการหลวง อาหารพื้นบ้านล้านนาที่รู้จักกันทั่วไป ทำจากพริกชนิดหนึ่งที่เรียกว่าพริกหนุ่มอาจจะใช้พริกหนุ่มที่แก่จัดหรือยังไม่แก่จัดก็ได้ โขลกส่วนผสม หอม และกระเทียม ที่มาย่างและรับประทาน กับ ผักโครงการหลวงสดจากดอยโดยตรง ซึ่งเป็นผักปลอดภัย และมีให้เลือกหลายหลายชนิด, กะลอจี้ ขนมกะลอจี๊เป็นขนมแป้งเหนียว ๆ สัญชาติจีน นำไปต้มจนสุก เวลาจะกินก็นำไปคลุกกับน้ำตาลทรายผสมงาขาวงาดำ จากโครงการหลวง ใส่ถั่วเพิ่มกะลอจี๊กรอบนอกนุ่มใน หอมงาและถั่ว ไปกินเล่นยามว่าง, ขนมตะโก้  ตะโก้กะทิสดมีให้เลือกกว่า 16 ไส้ โดยมีเมนูแนะนำคือไส้ ข้าวโพด, ฟักทอง, ถั่วแดง ที่สด ใหม่ จากโครงการหลวง บอกเลยว่าถ้ากินหมดนี่เบาหวานรับประทานแน่นอน,น้ำอะโวคาโดปั่น ได้คัดสรร ผลอะโวคาโด สดจากทีมโครงการหลวง มาทำน้ำอะโวคาโดปั่น ซึ่งเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพอย่างมาก เพราะมีทั้งวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายกว่า 20 ชนิด และมีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่มาก ซึ่งประโยชน์ของอะโวคาโดนั้นมีหลากหลายด้าน เช่น บำรุงสมอง บำรุงดวงตา ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง ไปจนถึงประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่น ๆ และอีกหลากหลายเมนูให้เลือกลิ้มลองความอร่อย

ร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากโครงการหลวง และลิ้มลองความอร่อยกับหลากหลายเมนูได้ ในงาน “เทศกาลสินค้าโครงการหลวง: ดอกไม้กินได้” ตั้วันที่ 5 – 12 มกราคม 2565 ที่ Grand Hall ชั้น 1 เดอะมอลล์ โคราช

อบจ.โคราช ร่วมสืบสานตำนานมวยพิมาย สนับสนุนการจัดการแข่งขันชกมวย “ศึกชิงแชมป์ดาวรุ่งเมืองพิมาย”

อบจ.โคราช ร่วมสืบสานตำนานมวยพิมาย สนับสนุนการจัดการแข่งขันชกมวย “ศึกชิงแชมป์ดาวรุ่งเมืองพิมาย”

วันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ.2564 อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา ได้จัดงานเทศกาลเที่ยวพิมายประจำปี 2564 มีกิจกรรมหลักประกอบด้วย การแสดง แสง สี เสียง และสื่อผสม พิมายปุระ The Musical วิมายะนาฏการ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมแสดงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่น อาทิ ตลาดย้อนยุค แสดงวีถีชีวิตของคนในท้องถิ่นพิมาย และการแข่งขันชกมวย “ศึกชิงแชมป์ดาวรุ่งเมืองพิมาย” ซึ่งจัดขึ้นที่เวทีมวยชั่วคราว วัดใหม่ประตูชัย

โดยมี ดร.ยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด เป็นประธานในพิธิเปิดการแข่งขัน และมีนายโกเมศ หอยมุกข์ ประธานชมรมพิมายเมืองมวย เป็นผู้กล่าวรายงาน ซึ่งการจัดการแข่งขันดังกล่าว จัดโดย ชมรมพิมายเมืองมวย ได้รับการสนับสนุนจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา , มูลนิธิพิมายสงเคราะห์ เป็นต้น มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้เยาวชนมีความรู้ เข้าใจในศิลปะแม่ไม้มวยไทย ,ร่วมสืบสานอนุรักษ์ศิลปะแม่ไม้มวยไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทย, และส่งเสริมให้เยาวชน ตลอดจนผู้สนใจได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ รวมทั้งสร้างอาชีพให้กับตนเองและครอบครัว สู่การเป็นนักกีฬาดาวรุ่งของประเทศชาติในอนาคต

การจัดการแข่งขันชกมวย “ศึกชิงแชมป์ดาวรุ่งเมืองพิมาย” ในครั้งนี้ มีทั้งสิ้น 24 คู่ โดยแยกเป็นนักมวยฝึกใหม่ไม่มีประสบการณ์จำนวน 10 คู่ นักมวยที่มีประสบการณ์ปานกลาง จำนวน 8 คู่ และนักมวยอาชีพ จำนวน 6 คู่ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าว ประสบผลสำเร็จได้รับการตอบรับจากประชาชนทั่วไปเยี่ยมชมเป็นจำนวนมาก

ธนาคารที่ดิน โชว์โมเดลบริหารช่วย เกษตรกรชาวโคราช

บจธ. ชูโมเดลบริหารจัดการที่ดินโคราช ผลักดันกฎหมายจัดตั้งหน่วยงานแก้ไขปัญหาเรื่องที่ดินอย่างยั่งยืน เกษตรกรโคราชขอบคุณลุงป้อม หลังสั่ง บจธ. ดูแลช่วยเหลือสมาชิกเกษตรกรทุกพื้นที่ พร้อมสนับสนุนการขับเคลื่อนกฎหมายการจัดตั้งหน่วยงาน เพื่อให้แก้ปัญหาที่ดินอย่างยั่งยืน

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. ได้จัดการแถลงข่าว ณ โรงแรม The Imperial Hotel & Convention Centre Korat ถ. สุรนารายณ์ ต.ในเมือง อ.เมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา เพื่อนำเสนอผลการดำเนินงานพื้นที่ต้นแบบโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนเพื่อยืนยันถึงความสำคัญและความจำเป็นที่จะต้องมีการจัดตั้งหน่วยงานที่ถาวรภายใต้ร่างพระราชบัญญัติสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. …. ซึ่งคาดว่าจะสามารถเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาในเดือนมกราคม 2565  เป็นที่มาของจัดงาน  “บจธ. มอบที่ดินทำกิน ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง” ในวันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม 2564 โดยมี พลเอก ประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธี โดยพิธีมอบสิทธิในที่ดินตามโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน ของ บจธ. จัดขึ้น ณ วิสาหกิจชุมชนไร่นาสวนผสมเกษตรกรฐานรากช่องโคพัฒนา ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา เพื่อแสดงให้เห็นความสำเร็จของการแก้ไขปัญหาที่ดินและการบริหารจัดการที่ดินเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากที่เป็นรูปธรรม โดยมีเกษตรกรทั้งที่ได้รับสิทธิในที่ดินแล้ว และที่อยู่ระหว่างขอความช่วยเหลือเข้าร่วมงานประมาณ 300 คน

นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนายการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บจธ. ได้มุ่งมั่น ลดความเหลื่อมล้ำเรื่องที่ดินทำกิน โดยน้อมนำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางให้เกษตรกรในการทำการเกษตร ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และพัฒนาศักยภาพให้เกษตรกร บจธ. มีภารกิจที่สำคัญในการจัดหาและพัฒนาที่ดิน โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมของพี่น้องเกษตรกรและชุมชน ให้พึ่งพาตัวเองได้”  “ปัจจุบัน บจธ. ได้ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ไปแล้ว 11 พื้นที่ และสหกรณ์การเกษตร 1 พื้นที่ ครอบคลุมทั้ง 5 ภาค ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ เนื้อที่รวม 1,234 –2-17.7 ไร่ จำนวน 482 ครัวเรือน และยังมีโครวการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินไปแล้ว 387 ราย โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน เนื้อที่ 741-3-91.5 ไร่ จำนวนเกษตรกร 500 ครัวเรือน โดยทุกชุมชนมีผลการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นที่น่าชื่นชมมาก เกษตรกรทุกพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลังจากได้ติดตามรับฟังเสียงพี่น้องและบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทุกคนต้องการให้ บจธ. แก้ปัญหาให้ทั่วประเทศ และพร้อมสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติฯ ให้จัดตั้งหน่วยงาน เพื่อให้แก้ปัญหาการเข้าถึงที่ดินได้ที่รวดเร็วและต่อเนื่อง” นายกุลพัชรกล่าว

 สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. จัดตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มีวัตถุประสงค์ในการกระจายการถือครองที่ดินที่เป็นธรรมและยั่งยืน และมีการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเหมาะสม โดย บจธ. ดำเนินงานผ่าน 4 โครงการหลัก กล่าวคือ โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร โครงการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินของเกษตรกรและผู้ยากจน และโครงการช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาด้านที่ดินจากการดำเนินนโยบายของรัฐ อันเป็นกลไกของรัฐในการบริหารจัดการที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและผู้ยากจน

ลดความเหลื่อมล้ำในเรื่องที่ดินทำกินของประเทศ ตลอดจนให้เกษตรกรมีความมั่นคงในการมีที่ดินทำกิน ป้องกันและแก้ไขปัญหาสูญเสียสิทธิในดินทำกินของเกษตรกร รักษาที่ดินเกษตรกรรม และส่งเสริมการใช้ประโยชน์ในที่ดินอย่างเต็มศักยภาพเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ และอีกหนึ่งภารกิจสำคัญคือการผลักดันการจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ลักษณะทำนองเดียวกันกับธนาคารที่ดิน ตามความในมาตรา 6 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ.2554  และที่แก้ไขเพิ่มเติม กำหนดว่า เพื่อประโยชน์ในการดำเนินการตามมาตรา 43 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 พ.ศ. 2560 – 2564 และแผนการปฏิรูปประเทศด้านสังคมให้กระทรวงการคลังและผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดำเนินการเสนอร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะทำนองเดียวกับธนาคารที่ดินต่อคณะรัฐมนตรีภายในหนึ่งปีนับตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้มีผลใช้บังคับ ซึ่ง บจธ. ได้ยกร่างพระราชบัญญัติสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. …. ขึ้น เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงภารกิจของ บจธ. ทั้ง 4 โครงการหลักดังกล่าวข้างต้น ซึ่งมาจากการปฏิบัติงานจริงของ บจธ. ซึ่งได้ถูกขัดเกลาด้วยการมีส่วนร่วมจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาชน ภาคประชาสังคม โดยมีการปรับรูปแบบและอำนาจหน้าที่ให้มีความเหมาะสมและสะท้อนถึงการแก้ไขปัญหาโดยยึดมิติทางสังคมเป็นหลักไม่ใช่มิติด้านการเงินการธนาคารอย่างที่ผ่านมา

ในการยกร่างพระราชบัญญัติสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. …. บจธ. ได้ดำเนินการโดยนำข้อมูลการปฏิบัติงานในโครงการต่างๆ มาวิเคราะห์และจัดทำข้อมูลเพื่อยกร่างกฎหมายที่มีความเหมาะสมกับภารกิจในการกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืนตามบริบทของประเทศไทย และในขณะยกร่างคณะอนุกรรมการที่ดำเนินการได้ลงพื้นที่การปฏิบัติการจริงของ บจธ. ที่จังหวัดเชียงรายเพื่อเก็บข้อมูลประกอบการร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วย โดยในขณะนี้ขั้นตอนการเสนอ

ร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวจอยู่ในระหว่างการเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณา ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือน มกราคม 2565  ซึ่ง บจธ. ในฐานะที่มีหน้าที่ต้องผลักดันร่างกฎหมายเพื่อให้เกิดการจัดตั้งธนาคารที่ดินหรือองค์การอื่นที่มีวัตถุประสงค์ทำนองเดียวกันกับธนาคารที่ดิน จึงได้จัดเวทีเสวนา  “ย้อนเรื่องราวความหลัง ความฝัน และความจริง สู่ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. ….  ”ณ วิสาหกิจชุมชนไร่นาส่วนผสมเกษตรกรฐานรากช่องโคพัฒนา ต.รังกาใหญ่ อ.พิมาย จ.นครราชสีมา  ในวันที่ 26 ธันวาคม 2564 ระหว่างเวลา 15.00 น.- 16.30 น. เพื่อเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ให้แก่เกษตรกร   สื่อมวลชน บุคคลทั่วไป หน่วยงานในพื้นที่ และ บจธ. ได้ชวนคิดชวนคุยถึงร่างกฎหมายจากโมเดลสู่การปฏิบัติจริงในพื้นที่พิมาย จากนั้นร่วมชมวีดิทัศน์ เกี่ยวกับนโยบายและบทบาทภารกิจของธนาคารที่ดินหรือองค์กรอื่นที่มีวัตถุประสงค์ในลักษณะทํานองเดียวกันกับธนาคารที่ดิน และ บจธ. เพื่อสร้างความรับรู้ และสร้างภาคีความร่วมมือทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน สื่อมวลชน และภาคประชาสังคม เพื่อให้การดำเนินการในการพิจารณาร่างกฎหมายสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี

โดยหนึ่งในโครงการที่ บจธ. ได้พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นต้นแบบในการบริหารจัดการที่ดินที่สอดคล้องกับร่างกฎหมายดังกล่าว คือ โครงการต้นแบบการบริหารจัดการที่ดินแบบครบวงจร ที่เกษตรกรรวมกลุ่มกันยื่นขอความช่วยเหลือ จากนั้น บจธ.จึงเริ่มต้นสำรวจข้อมูลที่ดิน ข้อมูลเกษตรกรผู้เดือดร้อนไม่มีที่ดินทำกิน ก่อนที่จะหาฉันทมติจากสมาชิกและเข้าไปซื้อที่ดินแปลงใหญ่  นำมาจัดสรรให้เกษตรกรและผู้ยากจนที่ต้องการใช้ประโยชน์ในที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่สำเร็จเป็นรูปธรรมแล้ว คือ กลุ่มวิสาหกิจชุมชนไร่นาสวนผสมเกษตรกรฐานรากช่องโคพัฒนา ตำบลรังกาใหญ่ อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา มีเกษตรกรและผู้ยากจนที่ได้รับความช่วยเหลือจำนวน 45 ครัวเรือน สมาชิกบางส่วนเป็นผู้ไร้ที่ดินทำกิน บางส่วนถูกเจ้าของที่ดินบอกเลิกเช่า และบางส่วนได้รับความเดือดร้อนจากนโยบายภาครัฐในการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ เส้นทางกรุงเทพ-หนองคาย และกลุ่มที่ได้รับความเดือดร้อนจากโครงการทวงคืนผืนป่า สมาชิกจึงได้มีการรวมกลุ่มกันและยื่นหนังสือขอรับความช่วยเหลือจาก บจธ. ต่อมา บจธ. ได้มีการจัดซื้อที่ดินโดยมีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินเป็นของ บจธ. เนื้อที่ 150-0-17 ไร่ และได้มีการทำสัญญาเช่ากับกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ เป็นระยะเวลา 2 ปี เพื่อให้กลุ่มเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ทั้งการวางแผนการดำเนินงาน การบริหารจัดการ เพื่อสร้างความเข้มแข็งของกลุ่ม จนยกระดับเป็นโครงการบริหารจัดการที่ดินอย่างยั่งยืนก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการเช่าซื้อตามหลักเกณฑ์ของ บจธ. ต่อไป ซึ่งกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ได้มีการจัดสรรแบ่งแปลงให้เกษตรกรเข้าไปใช้ประโยชน์เรียบร้อยแล้ว กลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ มีการบริหารจัดการกลุ่มที่ดี สมาชิกมีความเข้มแข็ง ให้ความร่วมมือในการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน และสามารถใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้เต็มศักยภาพ พื้นที่มีความก้าวหน้าในการดำเนินงาน และมีการใช้ประโยชน์ในพื้นที่จนเกิดผลผลิตและสามารถสร้างรายได้ให้แก่ครัวเรือนได้ ถือเป็นพื้นที่ต้นแบบ หรือตัวอย่างความสำเร็จ (Best Practice) ของการดำเนินงานของ บจธ.

และช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 พล.ต.อ. เฉลิมเกียรติ  ศรีวรขาน ประธานกรรมการ สถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) หรือ บจธ. เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บจธ. ได้ให้การช่วยเหลือและสนับสนุนกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ไปแล้ว 11 พื้นที่ และสหกรณ์การเกษตร 1 พื้นที่ ครอบคลุมทั้ง 5 ภาค ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้ เนื้อที่รวม 1,234 – 2 -17.7 ไร่ จำนวน 482 ครัวเรือน และยังมีโครวการแก้ไขปัญหาการสูญเสียสิทธิในที่ดินไปแล้ว 387 ราย โครงการนำร่องธนาคารที่ดินในพื้นที่นำร่อง 5 ชุมชน เนื้อที่ 741-3-91.5 ไร่ จำนวนเกษตรกร 500 ครัวเรือน ภายใต้การกำกับดูแลของ พลเอกประวิตร  วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่มีความห่วงใยเกษตรกรและผู้ยากจนที่ไม่มีที่ดินทำกินทั่วประเทศ โดยได้สั่งการให้ บจธ. ดำเนินการติดตามผลการดำเนินงาน บูรณาการร่วมกับหน่วยงานภาครัฐสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน และจัดหาตลาดนัดชุมชนให้แก่ทุกวิสาหกิจชุมชนที่เข้าร่วมโครงการของ บจธ. โดยปัจจุบันทุกชุมชนมีผลการดำเนินงานก้าวหน้าเป็นที่น่าชื่นชมมาก เกษตรกรทุกพื้นที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หลังจากได้ติดตามรับฟังเสียงพี่น้องและบูรณาการกับหน่วยงานต่างๆ ในพื้นที่ ทุกคนต้องการให้ บจธ. แก้ปัญหาให้ทั่วประเทศ และพร้อมสนับสนุนร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบัน บริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครองที่ดินอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน พ.ศ. ….

ให้จัดตั้งหน่วยงาน เพื่อให้แก้ปัญหาการเข้าถึงที่ดินได้ที่รวดเร็วและต่อเนื่องยิ่งขึ้น

นายกุลพัชร ภูมิใจอวด ผู้อำนายการสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน  เปิดเผยว่า ปัจจุบัน หลังจากที่ บจธ. ได้สนับสนุนที่ดินทำกินให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์การเกษตร อบรมปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงให้แก่สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการทุกคน เพื่อให้กลุ่มมีระบบบริหารจัดการกลุ่มที่เข้มแข็ง โดยดำเนินการจัดหาที่ดินด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน และพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามที่กลุ่มร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งสนับสนุนการจัดจำหน่าย และประสานการจัดตลาดนัดชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้กลุ่มเกษตรกรมีรายได้เพียงพอในช่วงการระบาดโควิท-19 ผ่านระยะเวลามาเพียง 1 ปี มีผลตอบรับที่ดี ทั้ง ทุกกลุ่มวิสาหกิจชุมชน ที่เข้าร่วมโครงการของ บจธ. สามารถสร้างรายได้รายครัวเรือนจากผลผลิตที่ปลูกในชุมชนได้เดือนละไม่ต่ำกว่า 6,000-10,000 บาท/ครัวเรือน กลุ่มสามารถผ่อนชำระค่าเช่าของ บจธ. ได้อย่างสบาย ส่งผลให้ให้สมาชิกในชุมชนสามารถลดรายจ่ายเพิ่มรายได้ในช่วงของภาวะวิกฤตของเศรษฐกิจในปัจจุบันได้ โดยในวันนี้ บจธ. ได้จัดกิจกรรมเวทีเสวนา ย้อนเรื่องราวความหลังความฝันและความจริงสู่ร่างพระราชบัญญัติจัดตั้งสถาบันบริหารจัดการที่ดินและกระจายการถือครอ

ศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชนเขต3 ได้รับถ้วยรางวัลชนะเลิศระดับประเทศโครงการทูบีนัมเบอร์วัน

ศูนย์ฝึกเด็กและเยาวชนเขต3 ได้รับ พระราชทานถ้วยรางวัลชนะเลิศรางวัลระดับประเทศ ในโครงการทูบีนัมเบอร์วัน

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญาสิริวัฒนาพรรณวดี องค์ ประธานโครงการ พระราชทาน ถ้วยรางวัลชนะเลิศอันดับ 1 ประเภทชมรม TO BE NUMBER ONE ระดับประเทศ ในสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและประเภทเยาวชนดีเด่น โดย ดร.รัตนะ วรบัณฑิต ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรม เด็กและเยาวชนเขต 3 ดำเนิน การส่งตัวแทน เด็กและเยาวชนเข้าร่วมโครงการ เยาวชนห่างไกลยาเสพติด ในงานมหกรรมรวมพล To Be Number 1 ประจำปี พศ.2564 ระหว่างวันที่ 21 -23 ธันวาคม 2564 ณ.อิมแพคเมืองทองธานี

ส่งเสริมการท่องเที่ยว โคราชเที่ยวได้ทุกเดือนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

เปิดตัวแคมเปญ “โคราชเที่ยวได้ทุกเดือน”

อบจ.โคราช ผุดไอเดีย หวังกระตุ้นการท่องเที่ยว

ส่งเสริมเศรษฐกิจ – ธุรกิจการท่องเที่ยว” ให้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง

วันที่ 23 ธันวาคม 2564 เวลา 1 7.00 น. ที่ บริเวณลานหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา นายภูมิสิทธิ์ วังคีรี รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย นางยลดา หวังศุภกิจโกศล นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โดย นางภาวนา ประจิตต์ ผู้อำนวยการสำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงานนครราชสีมา, การท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดนครราชสีมา โดยนายสทิศ สิทธิมณีวรรณ ท่องเที่ยวและกีฬจังหวัดนครราชสีมา,หอการค้าจังหวัดนครราชสีมา โดยนายศักดิ์ชาย ผลพานิชย์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมาโดยนางวัชรี ปรัชญานุสรณ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา และ สำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา โดยนายไชยนันท์แสงทอง วัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา

ร่วมแถลงข่าว และ ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) แคมเปญ “โคราซเที่ยวได้ทุกเดือน” เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนด้านการพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยว ของจังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันแคมเปญ “โคราชเที่ยวได้ทุกเดือน” ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี ภายหลังจากที่ธุรกิจการท่องเที่ยวซบเซาจากสถานการณ์โควิด – 19

“โคราชเที่ยวได้ทุกเดือน” อย่างเป็นทางการ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีด้านการท่องเที่ยวในปี พ.ศ. 2565 อบจ. มีเป้าหมายกระตุ้นให้เกิดการเดินทางของนักท่องเที่ยวและผู้คนมาเยือนจังหวัดนครราชสีมา มีการจับจ่ายใช้สอยพลิกฟื้นเศรษฐกิจการท่องเที่ยว มีเม็ดเงินสะพัดสู่คนในท้องถิ่นอย่างทั่วถึง โดย เน้นการประชาสัมพันธ์ ผ่านสื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์นำเสนอรายการท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา และสร้างคอนเทนต์กิจกรรมที่หลากหลาย เผยแพร่ผ่านสื่อประเภทต่างๆ ให้ประชาชนทั่วไปและนักท่องเที่ยว ได้เกิดการรับรู้กิจกรรมการท่องเที่ยวที่หลากหลาย อาทิ การท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติ วัฒนธรรม ประเพณี เกษตรกรรม ชุมชนและ สถานที่ท่องเที่ยว สมัยใหม่ สร้างเศรษฐกิจด้านท่องเที่ยว ด้านกิจกรรมที่มีอยู่เดิม และกิจกรรมใหม่ ให้มีความน่าสนใจมากขึ้นนอกจากนี้ ยังได้ร่วมบูรณาการกับหน่วยงาน 6 หน่วยงาน คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา โดย นางยลดา หวังศุภกิจโกศลนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย

ในการส่งเสริม สนับสนุนด้านการท่องเที่ยว การจัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ จัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งการจัดงานประเพณี วัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการท่องเที่ยวโดยชุมชนส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “โคราชเที่ยวได้ทุกเดือน”

ศิลปินนักปั้น เครื่องปั้นอันเก่าแก่ ดินแดนแห่งอารยธรรม และ ประวัติศาสตร์

ครั้งแรก ของการจัดงาน เทศกาล ศิลปะงานปั้นดิน และ เซรามิค ณ จังหวัดนครราชสีมา ดินแดน แห่งอารยธรรม และ ประวัติศาสตร์ การก่อเกิด เครื่องปั้นอันเก่าแก่ ที่มีพื้นที่การส่งเสริมศิลปะ การปั้น ตลาดการค้าเครื่องปั้นขนาดใหญ่ หมู่บ้านด่านเกวียนที่ทำเครื่องปั้นใหญ่ที่สุด และมีเตาเผา แบบดั้งเดิมมากที่สุด จุดหมายของการมาเยือนจากผู้ที่มีใจรักในศิลปะการปั้น ที่ทุกคนใฝ่ฝัน

InterKeramos korat clay festival 2021 thailand

เทศกาลที่จะมีศิลปินนักปั้น และผู้ประกอบการ จากทั่วประเทศ และทั่วโลกมาร่วม ประชุม แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ สร้างผลงานร่วมกัน แบ่งปันประสบการณ์ ตลอดจนเกิดการส่งเสริมการส่งออก ค้าขาย และ การจัดจำหน่าย ในรูปแบบของ การชุมนุมเครื่องปั้น หลากหลายรูปแบบ ชมนิทรรศการ การแสดงผลงานการปั้น จากศิลปินชั้นนำ และงานสร้างสรรค์ร่วมสมัย ณ เดอะมอลล์โคราช

InterKeramos korat clay festival 2021 thailand จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22-26 ธันวาคม 2021 ณ จังหวัดนครราชสีมา  เข้าชมรายละเอียดการจัดงานที่ www.ikthai.com  หรือ facebook KoratClayFestival

ผู้สนับสนุนการจัดเทศกาล“ InterKeramos korat clay festival 2021 thailand

TCEB สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน)

จังหวัดนครราชสีมา 

ศูนย์การค้าเดอะมอลล์

เทศบาลตำบลด่านเกวียน

เทศบาลพิมาย

สมาพันธ์ SME ไทย 

NCEC

3bb

Pottery Clay Thailand

กลุ่มเครือข่ายสถาบันการศึกษา

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน

มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา

มหาวิทยาลัยวงษ์ชวลิตกุล

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

มหาวิทยาลัยศรีปทุม

จัดโดย Ikthai

เล่าขานประวัติศาสตร์ ผ่านนามสกุลโคราช

เล่าขานประวัติศาสตร์ นครราชสีมาผ่านนามสกุลคนโคราช”

วัฒนธรรมจังหวัด นครราชสีมา

วันที่  22 ธันวาคม 2564 ท่านจำลอง ครุฑขุนทด ที่ปรึกษาสภาวัฒนธรรมจังหวัด, อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประธานในพิธีเปิดการเสวนาของสภาวัฒนธรรมจังหวัด “การเล่าขานประวัติศาสตร์นครราชสีมา : ผ่านนามสกุลคนโคราช”

 การเสวนาครั้งนี้เป็นกิจกรรมหนึ่งของ “โครงการเล่าขานประวัติศาสตร์นครราชสีมา : ผ่านนามสกุลคนโคราช” ซึ่งสภาวัฒนธรรมจังหวัดได้จัดขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับนามสกุลคนโคราชว่ามีนามสกุลใดบ้าง โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากสภาวัฒนธรรมอำเภอ ในเบื้องต้นได้สืบค้นและทำการสัมภาษณ์คนโคราช 12 อำเภอ ได้แก่ อำเภอเมือง  อำเภอปักธงชัย อำเภอโนนไทย อำเภอสูงเนิน อำเภอสีคิ้ว อำเภอโชคชัย อำเภอจักราช อำเภอพิมาย อำเภอโนนสูง อำเภอบัวใหญ่ อำเภอครบุรี และอำเภอด่านขุนทด โดยข้อมูลครอบคลุมถึง ประวัติความเป็นมา ชาติพันธุ์ อาชีพ และภูมิลำเนาเดิมของบรรพบุรุษ ตลอดจนความภาคภูมิใจในนามสกุลของคนโคราช นอกจากนี้ยังได้เก็บข้อมูลเกี่ยวกับเอกลักษณ์ที่โดดเด่นทางวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น การละเล่นพื้นเมือง และของดีประจำตำบลในแต่ละพื้นที่ด้วย

 สภาวัฒนธรรมจังหวัด ได้เล็งเห็นความสำคัญของการรวบรวมข้อมูลดังกล่าว เพื่อใช้ในการประสานคนโคราชให้เกิดความสมัครสมานสามัคคีและเพื่อให้เกิดการพัฒนาชุมชนที่มีความเข้มแข็งมั่นคง และสร้างสรรค์ยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงได้จัดเสาวนาในวันนี้ โดยเชิญผู้เข้าร่วมเสวนาจากอำเภอต่างๆ ได้รับเกียรติ นางเอมอร ศรีกงพาน ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา, นายไชยนันท์ แสงทองวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา, ดร.สมศักดิ์ ชาญสูงเนิน, รศ.ดร.จำเริญรัก จิตต์จิรจรรย์, ว่าที่ร้อยตรีสมชายรักกลาง และ นายรักชาติ กิริวัฒนศักดิ์ และคณะกรรมการสภาวัฒนธรรมจังหวัด ร่วมกิจกรรมเสวนาครั้งนี้ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.จิตนภาสมบูรณ์ศิลป์ หัวหน้าโครงการกล่าวรายงาน

 นาย จําลอง ครุฑขุนทด ท่านประธานกรรมการจัดงานเสวนา คณะกรรมการจัดงานกล่าวเปิดท่านผู้มีเกียรติที่เข้าร่วมการเสวนาทุกท่าน

 ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่มีโอกาสมาร่วมในพิธีเปิดการเสวนา “การเล่าขานประวัติศาสตร์นครราชสีมา : ผ่านนามสกุลคนโคราช” ขอขอบคุณและขอแสดงความชื่นชมที่ท่านทั้งหลายเล็งเห็นถึงความสำคัญและทำการรวบรวมข้อมูลนามสกุลคนโคราชนี้ขึ้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่ทำให้ทราบถึงประวัติศาสตร์ของคนโคราชในแง่มุมต่างๆ รวมทั้งขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น ที่บางแห่งอาจจะลบเลือนไป แต่บางแห่งก็ยังได้ถือปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ ข้อมูลดังกล่าวยังเอื้อต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ของคนโคราชร่วมกันต่อไปในอนาคต อันจะประโยชน์เพื่อการต่อยอดในการพัฒนาชุมชนได้เป็นอย่างดีอีกด้วย

 จังหวัดนครราชสีมาเป็นจังหวัดใหญ่ มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับ1 มี 32 อำเภอ และมีประชากรกว่า 2 ล้าน 6 แสนคน ซึ่งมากเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ดังนั้นการที่ท่านทั้งหลายมีวัตถุประสงค์ร่วมกันในการรวบรวมข้อมูลจาก 12 อำเภอ นำร่องนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมยินดีและควรค่าแก่การสนับสนุน ผมขอเป็นกำลังใจให้ท่านรวบรวมข้อมูลต่อไปในครบทั้ง 32 อำเภอ เพื่อให้เกิดความสมบูรณ์เป็นข้อมูลประจำจังหวัดนครราชสีมา เพื่อต่อยอดสืบสาน วัฒนธรรมโคราชต่อไป

สสส. สร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์ต้นแบบ เยาวชน 4 ภูมิภาค เป็นผู้นำเครือข่ายสื่อออนไลน์ท้องถิ่น หวังดึงพลังเยาวชนสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สังคม

สสส. สร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์ต้นแบบ เยาวชน 4 ภูมิภาค เป็นผู้นำเครือข่ายสื่อออนไลน์ท้องถิ่น หวังดึงพลังเยาวชนสร้างความเปลี่ยนแปลงสู่สังคม

เยาวชน 4 ภูมิภาค ร่วมผลิตสื่อสร้างสรรค์ หวังดึงพลังเด็กและเยาวชนสร้างสื่อสร้างสรรค์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงสู้สังคม และพัฒนาเป็นผู้นำเครือข่ายสื่อมวลชนออนไลน์ท้องถิ่นและชุมชน ด้วยต้นแบบหลักสูตรสื่อชุมชนสื่อสารสุขภาวะ

วันที่ 20-21 ธันวาคม 2564 ที่ โรงแรม ทีเคพาเลซ แอนด์คอนเวนชั่น แจ้งวัฒนะ กทม. โครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคมแห่งการเรียนรู้ จัดการประชุมเชิงปฏิบัติการ โครงการการพัฒนาขับเคลื่อนผู้นำเครือข่ายสื่อมวลชนออนไลน์ท้องถิ่น และชุมชนด้วยต้นแบบ หลักสูตรสื่อชุมชนสื่อสารสุขภาวะ ขึ้นเพื่อพัฒนา “นักสื่อสารสร้างสรรค์” ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้และผู้นำการเปลี่ยนแปลง การบูรณาการปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อระบบการเรียนรู้ใหม่” ทั้งยังหวังดึงพลังเด็กและเยาวชนสร้างสื่อสร้างสรรค์เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงสู้สังคมต่อไป

นายดนัย หวังบุญชัย ผู้จัดการโครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคม กล่าวว่า การพัฒนา “นักสื่อสารสร้างสรรค์” ให้เป็นพลเมืองที่ตื่นรู้และผู้นำการเปลี่ยนแปลง การบูรณาการปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อระบบการเรียนรู้ใหม่” ครั้งนี้ถือว่าเป็นการเกิดขึ้นปีที่ 6 ภายใต้โครงการการพัฒนาขับเคลื่อนผู้นำเครือข่ายสื่อมวลชนออนไลน์ท้องถิ่นและชุมชนด้วยต้นแบบหลักสูตรสื่อชุมชนสื่อสารสุขภาวะ” โดยการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งนี้ มีเครือข่ายเข้าร่วมเพื่อเป็นต้นแบบในการทำงาน ครอบคลุมใน 4 ภูมิภาค อาทิ ภาคอีสาน โดย พันโท พิสิษฐ์ ชาญเจริญ จากไทยเสรีนิวส์, ภาคเหนือ โดยคุณชัยวัฒน์ จันทิมา จากพะเยาทีวี, ภาคใต้ โดยคุณภูวสิษฏ์ สุกใส จากสงขลาโฟกัส และภาคกลาง โดยคุณสืบพงษ์ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต จากกลุ่มพลังแห่งต้นกล้า ที่ได้นำทัพเด็กและเยาวชนในภูมิภาคนั้นๆ มาร่วมโครงการการพัฒนาขับเคลื่อนผู้นำเครือข่ายสื่อมวลชนออนไลน์ท้องถิ่น และชุมชนด้วยต้นแบบ หลักสูตรสื่อชุมชนสื่อสารสุขภาวะ จำนวนกว่า 80 คน

ได้มาเรียนรู้การทำงานก่อนลงไปสร้างสรรค์สื่อจริง ด้วยหลักสูตรใหม่ที่ทันสมัย และสามารถนำไปใช้ได้จริงกับการทำงาน อย่าง 1. ดิจิทัลพลิกโลก (Digital Disruption) 2. การสื่อสารสุขภาวะ (Community for Health) 3. รู้เท่าทันสื่อสารสนเทศและเทคโนโลยีดิจิทัล (Media Information and Digital Literacy : MIDL) 4. กฎหมายและจริยธรรมการสื่อสาร  5. การสืบค้น การวิเคราะห์ข้อมูลและการจัดทำแผนชุมชน 6.ความคิดสร้างสรรค์และการเล่าเรื่อง 7.การออกแบบและผลิตสื่อ 8.การสื่อสารและการจัดการภาวะวิกฤต 9.การสื่อสารเพื่อการฟื้นฟูและเยี่ยวยา 10.การสื่อสารเพื่อการโน้มน้าวใจ 11.การต่อยอดเป็นผู้ประกอบการออนไลน์ 12.การประเมินผลและการถอดบทเรียนออนไลน์ และ 13.การออกแบบและผลิตสื่อ 2

“ในการสร้างสรรค์สื่อในครั้งนี้เพื่อเป็นการสื่อสารไปยังสังคมได้แพร่หลายมากขึ้นจึงมีการเน้นให้มีการสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ในแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ อาทิ Facebook, Instagram, Twitter, YouTube, Tiktok หรืออื่นๆ ตามที่นำเสนอภายใต้ประเด็นที่กำหนดอย่าง 1.รองรับสังคมผู้สูงวัย 2.ปัจจัยเสี่ยงทางด้านสุขภาวะ 3.ทักษะรู้เท่าทันสื่อและความรอบรู้ด้านสุขภาพ 4.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5.อัตลักษณ์ – ความดี – คนดีของสังคม ซึ่งสามารถติดตามผลงานของเยาวชนทั้งหมดในครั้งนี้ได้ที่ www.artculture4health.com/mass ครับ”  นายดนัย หวังบุญชัย กล่าว

ด้าน พันโท พิสิษฐ์ ชาญเจริญ บรรณาธิการบริหารไทยเสรีนิวส์ กล่าวว่า สำหรับภาคอีสานในปีนี้ได้ส่งเยาวชนเข้าร่วมเพื่อสร้างสรรค์สื่อในโครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคมแห่งการเรียนรู้ทั้งสิ้น จำนวน 6 ทีม โดยมีเยาวชนจากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น จำนวน 3 ทีม อาทิ ทีมพี่เอง, ทีมลูกหล่า และทีมหนุ่มชุมชน ส่วนจากจังหวัดมหาสารคาม โดยมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จำนวน 3 ทีม อาทิ ทีมนาตาชาโรมานอฟ, ทีมเป็นกำลังจั๊ย และทีม My Navis We love You โดยทั้ง 6 ทีมนี้ จะมีการนำเสนอผลงานและเผยแพร่ผลงานผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียที่จะเปิดตัวขึ้นต้นปี 2565 และแน่นอนว่าผลงานทั้งหมดจะมีการเผยแพร่ที่ เวปไซค์และเพจไทยเสรีนิวส์ ด้วย ซึ่งผู้ที่สนใจสามารถติดตามทุกๆ ผลงานได้เร็วๆ นี้แน่นอน

“นอกจาก 6 ทีม ของภาคอีสานแล้ว ยังมีผลงานของเยาวชนในโครงการสื่อเป็นโรงเรียนของสังคมแห่งการเรียนรู้ในภาคอื่นๆ เผยแพร่ออกมาด้วย แน่นอนว่าทุกๆ ผลงานจะสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นกับสังคมเพื่อนำมาสู่การขับเคลื่อนให้เกิดแนวทางในการสร้างสรรค์กลุ่มนักสื่อสารมวลชนที่จะเป็นพลังในการสร้างรากฐานของการสื่อสารให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชนสังคม และประเทศชาติต่อไปได้อย่างแน่นอน จะเป็นอย่างไรติดตามได้ต้นปี 2565 นี้” พันโท พิสิษฐ์ ชาญเจริญ กล่าว

ททท.ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา ชวนเที่ยวงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 : Amazing Thailand Countdown 2022

ททท.ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา ชวนเที่ยวงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapter @ Nakhon Ratchasima วันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

ททท.ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา ชวนเที่ยวงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 : Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapter @ Nakhon Ratchasima ภายใต้แนวคิด “Smiley Thailand” มนต์เสน่ห์แห่งแดนอีสานรอยยิ้มและสีสันแห่งความสนุก ตื่นตากับมหัศจรรย์สวนไฟเรืองแสงใจกลางเมืองนครราชสีมา ชมขบวนพาเหรดสีสันแดนอีสาน และการแสดงสดจากศิลปินชื่อดัง อาทิ ตั๊กแตน ชลดา, แซ็ค ชุมแพ, บอย ศิริชัย หมอลำใจเกินร้อย, วงโปเตโต้, Twopee Southside พร้อมร่วมนับถอยหลังส่งคำอวยพรต้อนรับปีใหม่ 2565 กับการแสดงพลุชุดพิเศษ “Smiley Thailand” และเพลง“พรปีใหม่” ในธีมอีสานซิ่ง ดีเดย์ 27 – 31 ธันวาคม 2564  ณ บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

เย็นวันนี้ (21 ธันวาคม 2564) นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วย   นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมา ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา และผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 : Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapter @ Nakhon Ratchasima

นายนิธี สีแพร รองผู้ว่าการด้านดิจิทัล วิจัยและพัฒนา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับจังหวัดนครราชสีมา จัดกิจกรรมเทศกาล ส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่2565 : Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapter @Nakhon Ratchasima โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศและสร้างความเชื่อมั่นในการบริหารจัดการเรื่องความปลอดภัยตามมาตรฐาน SHA ให้กับนักท่องเที่ยว นำเสนอภายใต้แนวคิด “Smiley Thailand” มนต์เสน่ห์แห่งแดนอีสานเพื่อสร้างรอยยิ้มและสีสันความสนุกในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2565 กำหนดจัดระหว่างวันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

สำหรับกิจกรรมภายในงานแบ่งออกเป็น 5 ไฮไลท์ ประกอบด้วย

ช่วงที่ 1 ระหว่างวันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2564 พบกับ

– Amazing Light of ESAN : กิจกรรมประดับตกแต่งไฟสวยงาม Landmark / จุดถ่ายภาพ กับมหัศจรรย์สวนไฟเรืองแสงใจกลางเมืองโคราช การแสดงดนตรี Street Show เปิดหมวกสะท้อนสีสันภาคอีสาน พร้อมส่งคำทักทายไปยังนักท่องเที่ยวทั่วโลก

– Taste of ESAN : พบกับร้านเด็ด เมนูดังประจำถิ่นที่มีเอกลักษณ์ จำนวนกว่า 50 ร้านค้า

ช่วงที่ 2 ระหว่างวันที่ 30 – 31 ธันวาคม 2564 พบกับ

– ESAN Parade : พบกับกิจกรรมขบวนพาเหรดสีสันแดนอีสาน ปลุกบรรยากาศสนุกสนานรื่นเริงต้อนรับปีใหม่ ได้แก่ การแสดงขบวนแห่หย่าวโคราช , การแสดงขบวนแห่ประเพณีบุญบั้งไฟ เป็นต้น

– Show & Performance : พบกับการแสดงศิลปวัฒนธรรมอีสานและการแสดงดนตรีจากศิลปินที่มีชื่อเสียง ได้แก่ การแสดงพื้นบ้านท้องถิ่นอีสาน แสดงอัตลักษณ์อีสานตอนเหนือ ตอนกลาง ตอนใต้ ร่วมกับศิลปินท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงจากภาคอีสาน อาทิ การแสดงชุดกระทบสาก ผสานการขับร้องเพลงกันตรึม โดย ศิลปิน น้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์, การแสดงจากศิลปินแห่งชาติเพลงพื้นบ้านอีสาน อาจารย์กำปั่น บ้านแท่น, ศิริวรรณ จันทร์สว่าง ศิลปิน The Golden Song , คณะอาจารย์บุญสม สังข์สุข นายกสมาคมเพลงโคราช , การแสดงมโหรีจากวงศิลป์สาธร เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังจัดเต็มไปกับการแสดงจากศิลปินป๊อป ร็อค แร็พ ลูกทุ่งที่มีชื่อเสียง พร้อมโชว์พิเศษกลิ่นไออีสานสำหรับเวทีครั้งนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ วงโปเตโต้, วง Twopee Southside, ไอซ์ ศรัณยู, ติ๊กชีโร่, วง BSO (Bangkok Symphony Orchestra), วงมหาหิงค์, ตั๊กแตน ชลดา, แซ็ค ชุมแพ, บอย ศิริชัย หมอลำใจเกินร้อย และอีกมากมาย

– Fireworks Celebration : ชมการแสดงพลุในช่วงนับถอยหลังส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 ส่งรอยยิ้มและความสนุกแห่งเสน่ห์แดนอีสานกับการแสดงพลุชุดพิเศษ “Smiley Thailand” ที่จะเต้นรำไปกับเพลง “พรปีใหม่” ในธีมอีสานซิ่ง (ESAN SING) นำโดย ตั๊กแตน ชลดา นักร้องลูกทุ่งชื่อดังสายเลือดคนโคราช พร้อมส่งคำอวยพรต้อนรับปีใหม่ 2565 กึกก้องดังไปยังนักท่องเที่ยวทั่วโลก โดยการแสดงพลุ แบ่งออกเป็น 7 ชุด ประกอบด้วย

1.Big Hope : ความหวังอันยิ่งใหญ่ สว่างไสว โชติช่วง

2.Power of Smile : รอยยิ้มแห่งมิตรภาพ

3.Be good life : สุขภาพดีทั้งกายใจ ไร้โรคา

4.Believe : ความเชื่อมั่น ความศรัทธา และมุ่งมั่น

5.Beautiful ESAN : ความงดงามของอีสาน

6.Blooming Wealth : ความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรือง เฟื่องฟู

7.Welcome to land of colorful : ยินดีต้อนรับสู่ดินแดนแห่งสีสัน

ด้านนายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า จังหวัดนครราชสีมา มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เป็น 1 ใน 5 จังหวัดในการเป็นพื้นที่นำร่องเปิดพื้นที่ท่องเที่ยว ประกอบด้วย จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดระยอง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดภูเก็ต ด้วยการจัดกิจกรรมเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ เพื่อประกาศว่าอีสานพร้อมแล้วที่จะต้อนรับนักท่องเที่ยว จากทั่วทุกมุมโลก และตอบรับนโยบายในการเปิดประเทศในการต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ โดยทางจังหวัดพร้อมด้วยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เทศบาลนครนครราชสีมา สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวจังหวัดนครราชสีมา สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ได้มีการเตรียมมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ในช่วงเทศกาลปีใหม่ (Covid Free Setting) ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข และ ศบค. กำหนดอย่างเคร่งครัด

โดยได้มีการจัดเตรียมด้านความปลอดภัย ตามมาตรการป้องกัน ด้วยการลงทะเบียนเข้างานล่วงหน้าผ่าน Line Official Account : @Countdownkorat2022 เพื่อลดความแออัดบริเวณทางเข้างานและจํากัดจำนวนผู้ร่วมงาน ทั้งนี้สามารถเริ่มลงทะเบียนเข้างานได้ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคมนี้ นอกจากนี้ ผู้จัดงานและผู้มาร่วมงานทุกท่านจะต้องแสดงหนังสือรับรองการตรวจ ATK ไม่เกิน 72 ชั่วโมง และแสดงหลักฐานการฉีดวัคซีนครบ 2 เข็มผ่านหมอพร้อม ณ จุดคัดกรองก่อนเข้างาน สำหรับประชาชนที่สนใจเข้าร่วมงานสามารถไปตรวจ ATK และขอใบรับรองได้ที่โรงพยาบาลหรือสถานีอนามัยใกล้บ้านท่าน อย่างไรก็ดี บริเวณที่จัดงานทางผู้จัดงานได้เตรียมจุดตรวจ ATK โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2564 ค่าใช้จ่ายประมาณ 90 บาท สำหรับค่าชุดตรวจและใบรับรอง โดยตลอดการจัดงานคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานกว่า 13,000 คน มีเงินหมุนเวียนกว่า 21.56 ล้านบาท 

พลาดไม่ได้!!! งานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ 2565 : Amazing Thailand Countdown 2022 – Amazing New Chapter @ Nakhon Ratchasima ในวันที่ 27 – 31 ธันวาคม 2564 ณ บริเวณลานหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา

ตำรวจภาค 3 จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ และฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ตำรวจภาค 3 จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ และฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

.ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร, พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นั้น

.ตำรวจภูธรภาค 3 โดย พล.ต.ทสมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3/ผอ.ศปอส.ภ.3 ได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปราม อาชญากรรม ตำรวจภูธรภาค 3 สืบสวนจับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 และ พื้นที่คาบเกี่ยว

.โดยเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.65 ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม ตำรวจภูธรภาค 3 ร่วมกับ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 3, ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี, ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ และตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ

 ร่วมปฏิบัติการเข้าปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ 12PLUS ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 โดยได้ทําการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 30 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ไพ่บาคาร่า) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันฟอกเงิน จำนวน 5 ราย อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุม อีก 1 ราย พร้อมกันนี้ได้ทำการตรวจยึดของกลาง ดังต่อไปนี้

.ยานพาหนะ รถยนต์ จํานวน 1 คัน รถจักรยานยนต์ จํานวน 4 คัน อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ประกอบด้วย อาวุธปืนยาว จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนพกสั้น กระบอก, เครื่องกระสุนปืน จํานวน 219 นัด

.คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการหลบหนี และจะทําการสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์กลุ่มนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนทั่วไป หากมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งข้อมูล มายังตำรวจภูธรภาค 3 ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 4425 5275 83 ต่อ 188