“อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน”สสส.โครงการต้นแบบโรงเรียนชุมชนวัดบ้านรวง

นครราชสีมา- โรงเรียนชุมชนวัดรวง โรงเรียนต้นแบบ“อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน”
เปิดแผน Fit พิชิตอ้วน@ชุมชนวัดรวง รณรงค์สุขภาพดีในโรงเรียน

(วันที่ 21 กันยายน 2561) โรงเรียนชุมชนวัดรวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา โรงเรียนต้นแบบ 1 ใน 25 โรงเรียนของโครงการสื่อสร้างสรรค์และกิจกรรมเพื่อรณรงค์โภชนาการสมวัย “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักและผลไม้) ปีที่3 ในภูมิภาค จัดนิทรรศการโครงการแผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง ภายใต้การสนับสนุนจากแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ทำงานร่วมกับสำนักโภชนาการสมวัย สำนักงานบริหารแผนงานอาหารและโภชนาการ เครือข่ายเด็กไทยไม่กินหวาน เครือข่ายคนไทยไร้พุง และชมรมโภชนาการเด็กแห่งประเทศไทย หวังปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนให้ เข้าใจและเท่าทันโรคอ้วน
โดยดร.ประภาส นวลเนตร ผู้ทรงคุณวุฒิแผนงานสื่อศิลปวัฒนธรรมสร้างเสริมสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า โครงการสร้างสรรค์สื่อเพื่อการรณรงค์ลดน้ำหนักในเด็กระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาเพื่อการส่งเสริมสุขภาพ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก และผลไม้)” มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคในกลุ่มเป้าหมาย ผ่านการใช้สื่อและกิจกรรมสร้างสรรค์ที่หลากหลาย มุ่งใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้ด้านสุขภาวะ มีการถ่ายทอดให้เกิดแรงบันดาลใจเพื่อการสื่อสารสุขภาวะ ในหัวข้อ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน” โดยให้ความสำคัญกับครูผู้สอน เด็กนักเรียน พ่อแม่ ผู้ปกครอง และชุมชน ในการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory learning)กลุ่มเป้าหมายหลักของโครงการ ได้แก่ นักเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา ในโรงเรียนสังกัดสำนักการศึกษา กรุงเทพมหานคร (กทม.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
“ทั้งนี้ผลการดำเนินงานโครงการ “อย่าปล่อยให้เด็กอ้วน (ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มผัก และผลไม้)” ปี 2 พบว่า ความสัมพันธ์ระหว่างอายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของนักเรียนจากโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ มีการเปลี่ยนแปลงไป กล่าวคือ หลังดำเนินโครงการฯ ความสัมพันธ์ระหว่างอายุ ส่วนสูง และน้ำหนักของนักเรียนโดยภาพรวมอยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน (สมส่วน) เพิ่มขึ้น ท้วมหรืออ้วนสูงลดลงเล็กน้อย ส่วนกลุ่มที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน (ผอม) ยังคงมีเท่าเดิม ซึ่งโดยภาพรวมการดำเนินงานเป็นที่น่าพึงพอใจของทุกฝ่าย แต่ปัญหาและอุปสรรคในการดำเนินงานที่มีอยู่บ้าง คือ ผู้รับผิดชอบโครงการจำนวนหนึ่งยังไม่เข้าใจในตัวโครงการฯ อย่างชัดเจน เช่น วัตถุประสงค์ในการดำเนินโครงการฯ วิธีการดำเนินโครงการฯ ผลลัพธ์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการฯ จึงส่งผลให้การจัดทำกิจกรรม สื่อหรือนวัตกรรม ไม่สอดคล้อง ไม่น่าสนใจ ไม่มีเอกลักษณ์ตามบริบทและภูมิสังคมของพื้นที่ รวมทั้งไม่ตอบโจทย์ตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ ประการต่อมา ระยะเวลาในการดำเนินโครงการฯ มีอยู่อย่างจำกัด การขอความร่วมมือจากร้านค้าในพื้นที่ ในชุมชน และบริเวณโดยรอบโรงเรียน ยังทำได้ไม่ดีพอ ส่งผลให้เด็กนักเรียนยังมีช่องทางในการซื้ออาหาร ขนม และเครื่องดื่ม ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพมาบริโภค ส่วนคณะทำงานมีไม่เพียงพอ แต่ละคนมีภารกิจมากเกินไป สุดท้าย คือ ผู้ปกครองและชุมชนไม่ได้เข้ามามีส่วนร่วมอย่างเต็มที่” ดร.ประภาส นวลเนตร กล่าว
เมื่อเป็นเช่นนี้ดร.ประภาส นวลเนตร กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับในปีนี้ได้มีการต่อยยอดและขยายผลไปยังโรงเรียนต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยมีโรงเรียนเข้าร่วมโครงการรวมทั้งสิ้น 25 แห่ง จาก 22 จังหวัด ใน 4 ภูมิภาค ครอบคลุมนักเรียนตั้งแต่ระดับประถมศึกษาถึงมัธยมศึกษา ประมาณ 1,800 คน ทั้งนี้เราจะพาไปดูกันว่าโรงเรียนที่เป็นต้นแบบใน 25 โรงเรียนนี้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กในโรงเรียนให้ เข้าใจและเท่าทันโรคอ้วน โรงเรียนชุมชนวัดรวง อำเภอเฉลิมพระเกียรติ จังหวัดนครราชสีมา ก็เป็น 1 ในโรงเรียนต้นแบบครั้งนี้
ด้านนายประสงค์ ชูใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนชุมชนวัดรวง กล่าวว่า ในนิทรรศการโครงการแผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง ครั้งนี้ทางโรงเรียนได้นำความเป็นเอกลักษณ์ของจังหวัดนครราชสีมาเข้ามาปรับใช้เริ่มตั้งแต่การจัดให้มีตัวแทนนักเรียนแต่งชุดย่าโมออกศึก พาคณะกรรมการเดินเข้าประตูเมืองโคราช “วันประกาศชัยฟิต พิชิตอ้วน” ที่มีการจำลองให้เกิดขึ้นในโรงเรียน พร้อมทั้งมีการแสดงรำโทน โคราช และจัดนิทรรศการด่านต่างๆ ขึ้นมา อาทิ ด่านที่ 1 กลยุทธ์ชุดออกศึก, ด่านที่ 2 กลยุทธ์ชุดโภชนาการ และด่านที่ 3 กลยุทธ์เร่งฟิตพิชิตอ้วน พร้อมกับมีการแสดงรหัสการปรบมือ แผน Fit พิชิตอ้วน @ชุมชนวัดรวง เพื่อแสดงพลังและประกาศชัยชนะ ฟิตพิชิตอ้วน พร้อมกันทั้งโรงเรียนด้วย เพื่อหวังปลูกฝังการเรียนรู้ ความเข้าใจในเรื่องลดอ้วนอย่างถูกวิธี ถูกต้องตามหลังโภชนาการและเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เชื่อว่าไม่นานเด็กๆ ที่โรงเรียนชุมชนวัดรวง นี้จะมีสุขภาพที่ดีไม่อ้วน และไม่ผอมเกินไปอย่างแน่นอน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ นางสาวฤทัยรัตน์ ไกรรอด โทรศัพท์ 082-596-9296

ชาวโคราชศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)

ชาวโคราชศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)

วันที่ 20 กันยายน2561 ที่โรงแรมวีวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา นายนฤชาโฆษาศิวไลซ์ นายอำเภอเมือง นครราชสีมา เป็นประธาน การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ)กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก) จังหวัดนครราชสีมา

 

กรมทางหลวงได้จัดทาแผนพัฒนาทางหลวงระยะ 10 ปี (พ.ศ. 2550-2559) โดยกำหนดตามทิศทางของการพัฒนาระบบคมนาคมและขนส่งของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ซึ่งประกอบด้วยการพัฒนาทางหลวงและอำนวยความปลอดภัยในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงงานก่อสร้างทางแยกต่างระดับและได้พิจารณาจัดลาดับความสาคัญในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ สำหรับทางแยก

จุดตัดระหว่างทางหลวงหมายเลข 2 (ถนนมิตรภาพ) กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก)ตั้งอยู่ในเขตอาเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา มีปัญหาการจราจรคับคั่ง และมีชุมชนหนาแน่นในปัจจุบันได้จัดการจราจรด้วยไฟสัญญาณจราจร ซึ่งไม่สามารถรองรับปริมาณการเดินทางได้อย่างเพียงพอ ส่งผลกระทบต่อกระแสการจราจรบนเส้นทางหลัก (บนถนนมิตรภาพ) และสายรอง (ถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก)

ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทางและติดขัด กรมทางหลวงจึงดาเนินการพัฒนาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของทางแยกแห่งนี้ โดยกำหนดให้มีการปรับปรุงทางแยกแห่งนี้ให้เป็นทางแยกต่างระดับเพื่อบรรเทาปัญหาการจราจรโดยในปี พ.ศ. 2557 ได้ดาเนินการสารวจและออกแบบรายละเอียดทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข 2กับถนนเทศบาล (แยกประโดก) ตามแผนพัฒนาดังกล่าว โดยการดาเนินการประกอบด้วย การสารวจและวิเคราะห์ทางวิศวกรรมอย่างละเอียดการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนทั้งในระดับจังหวัดและในพื้นที่และศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น จากผลการศึกษาดังกล่าว พบว่า มีแหล่งโบราณสถานอยู่ใกล้แนวถนนของโครงการ ทำให้โครงการเข้าข่ายต้องจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผล

กระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ตามประกาศกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม เรื่อง กำหนดประเภทและขนาดโครงการหรือกิจการ ซึ่งต้องจัดทำรายงาน

การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมฯ เพื่อให้เป็นไปตามมาตร 46 แห่งพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และเพื่อให้การพัฒนาโครงการเกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและประชาชน ที่อาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่โครงการน้อยที่สุดการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เพราะมีแหล่งโบราณสถานในระยะ 1กิโลเมตรจากถนนโครงการคืออุโบสถวัดเวฬุนาราม โคกไผ่ ต.หมื่นไวย อ.เมือง อายุกว่า 100ปี ซึ่งโครงการสำรวจและออกแบบทางแยกต่างระดับของสำนักสำรวจและออกแบบ กรมทางหลวง เลือกรูปแบบทางลอด ช่องจราจรจำนวน6ช่องจราจร ระยะทางรวมของโครงการ 1,750 เมตร ค่าก่อสร้าง 399ล้านบาท โดยจุดเริ่มต้นโครงการกม.149+450ทล.2 (ประมาณโคราชชัยยางยนต์) ส่วนจุดเริ่มต้นทางลอดกม.149+750ทล.2 (บริเวณหน้าแม็คโค) จนไปสิ้นสุดทางลอดที่ กม.150+824ทล.2 (บริเวณคลังสินค้าพันธ์เกษตร) และไปสิ้นสุดโครงการที่กม.151+200ทล.2 (บริเวณหน้าโคราชอินเตอร์มาร์ท)คาดจะเริ่มดำเนินก่อสร้างช่วงต้นปี 2563ใช้เวลา3 ปี องค์ประกอบทางหลวงเพื่อเสริมความปลอดภัยของทางลอด (Underpass) และทางแยก

ประกอบด้วยติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างภายในทางลอดติดตั้งกับเพดานทางลอด (Underpass)ติดตั้งกับผนังทั้งสองด้าน ติดตั้งระบบดับเพลิง ติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่าง และไฟสัญญาณจราจรบริเวณทางแยก และถนนโดยรอบ การก่อสร้างจะดาเนินการก่อสร้างตามแนวเส้นทางสายหลักบนถนนทางหลวงหมายเลข 2(ถนนมิตรภาพ) โดยใช้เขตทางหลวงเดิม 60 เมตรในการก่อสร้าง มีรายละเอียดดังนี้ทางหลวงโครงการระยะทางรวม 1,750 เมตร ภายในทางลอด (Underpass) มีช่องจราจรจานวน 6 ช่องจราจร (ไป – กลับ ข้างละ 3 ช่องจราจร)ความกว้างช่องจราจรช่องละ 3.50 เมตร รูปแบบเกาะกลางกั้นด้วยแท่งปูน (Median Barrier)  ขอบทางกว้าง 1.50 เมตร ความสูงช่องลอด 5.50 เมตร

ก รมทางหลวง จึงว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา อันประกอบด้วย บริษัท เทสโก้ จากัด และบริษัทธารา ไลน์ จากัด ดาเนินการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ทางแยกต่างระดับจุดตัดทางหลวงหมายเลข2(ถนนมิตรภาพ) กับถนนเทศบาลหรือถนนช้างเผือก (แยกประโดก) จังหวัดนครราชสีมาทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่น เจ้าหน้าที่ของรัฐ รวมถึง องค์กรเอกชน ผู้มีส่วนได้เสีย และประชาชนทั่วไปที่สนใจในโครงการ ได้มีส่วนร่วมรับทราบข้อมูลและแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ในระหว่างการดาเนินการศึกษาเป็นระยะ ๆ อย่างต่อเนื่อง กรมทางหลวงจึงกำหนดให้มีการดาเนินการรับฟังความคิดเห็นของประชาชน โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียต่อการพัฒนาโครงการ รวมถึงองค์กรทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนที่สนใจได้รับทราบข้อมูล และมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นพร้อมให้ข้อเสนอแนะ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไข และลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม และมาตรการติดตามตรวจสอบผลกระทบสิ่งแวดล้อม ที่อาจจะเกิดจากการพัฒนาโครงการ

เจ้าภาพโคราชจัดแถลงข่าวการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561

เจ้าภาพโคราชจัดแถลงข่าวการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561

วันที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 13.00 นที่บริเวณชั้น G ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 นครราชสีมาสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทยร่วมกับศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชจัดงานแถลงข่าวการจัดการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลกชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561 ขึ้นโดยนายจรัสชัย   โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พันเอกวิจิตร  เสือคง ผู้บังคับการกองพันซ่อมบำรุงที่ 22 กองบัญชาการช่วยรบที่ 2 คุณบุญชัย  หล่อพิพัฒน์  เลขานุการคณะกรรมการจัดการแข่งขันคุณธิติ พฤกษ์ชะอุ่ม  ผู้แทนบริษัท แกรนด์สปอร์ต กรุ๊ป จำกัด คุณวิทยา  อภินันท์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล21 โคราชและนักตะกร้อที่จะมาร่วมแถลงข่าวทีมชาย พรชัย เค้าแก้วภัทรพงษ์ ยุพดี ทีมหญิง สมฤดี ปรือปรัก  นิภาถรณี สลุปผลร่วมกันแถลงข่าว

(นายจรัสชัย   โชคเรืองสกุลรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมากล่าว)กระผมรู้สึกปลื้มปิติและภาคภูมิใจยิ่งที่ได้รับความไว้วางใจจากคณะกรรมการบริหารสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทยในฐานะเป็นเจ้าภาพจัดการเพลงขันตะกร้อชิงแชมป์โลกถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว King Cupครั้งที่33ปี 2561ถือเป็นเกียรติอย่างมากที่การแข่งขันระดับนี้มาจัดที่จังหวัดนครราชสีมาสำหรับ ณ ขนาดนี้เราเตรียมพร้อมในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันตะกร้อ”คิงส์คัพ” เตรียมพร้อมต้อนรับทัพนักกีฬานานาชาติที่จะมาเยือนเราเล่นความประทับใจรวมถึงการที่พวกท่านทั้งหลายมาพักตลอดระยะการแข่งขันจะให้การต้อนรับแบบอบอุ่นใจถึงความปลอดภัยซึ่งสิ่งต่างๆไม่ว่าจะเป็นเรื่องสิ่งของโดยความสะดวกต่างๆทางคณะกรรมการจัดการแข่งขันได้เตรียมพร้อมไว้เรียบร้อย

( คุณบุญชัย  หล่อพิพัฒน์  เลขานุการคณะกรรมการจัดการแข่งขันกล่าว)ผมมีความรู้สึกยินดีและภาคภูมิใจที่ทางจังหวัดนครราชสีมา โดย ท่านจรัสชัย โชคเรืองสกุล   รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา รับเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันตะกร้อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชิงแชมป์โลก “คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33 ประจำปี 2561 ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่มาจัดการแข่งขันที่จังหวัดนครราชสีมา  ในครั้งนี้ ผมมีความเชื่อมั่นในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันที่มีประสิทธิภาพและศักยภาพของจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมีความพร้อมในทุกด้าน ดังนั้นถ้วยพระราชทานจักต้องอยู่ในประเทศไทย และทุกคนที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องทีม  ตั้งแต่คณะกรรมการบริหารสมาคมฯ ผู้จัดการทีม, ผู้ฝึกสอน และนักกีฬาต้องผนึกกำลังและสู้อย่างเต็มความสามารถ

และผมก็เชื่อมั่นในประสิทธิภาพการทำงานของคณะกรรมการจัดการแข่งขันจังหวัดนครราชสีมา ที่จะทำให้การแข่งขันในครั้งนี้เกิดความประทับใจให้กับสมาชิกสหพันธ์เซปักตะกร้อนานาชาติ และสมาคมตะกร้อแห่งประเทศไทย ได้กล่าวถึง ว่าจะทำให้การแข่งขันในครั้งนี้ ดีเยี่ยมทั้งใน เรื่อง กฏ, กติกา, การจัดการแข่งขันตลอดจนเรื่องการต้อนรับและบริการอื่นๆ ให้แก่ผู้เข้าร่วมการแข่งขันระหว่างที่พำนักอยู่

(นายวิทยา อภินันท์ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชกล่าวเสริมว่า)ในส่วนของศูนย์การค้าฯเราเองมั่นใจว่าจังหวัดนครราชสีมามีศักยภาพมากพอที่จะรองรับการจัดงานในระดับโลกได้เราจึงได้ปรึกษากับทางสมาคมกีฬาตะกร้อแห่งประเทศไทย และได้จัดให้มีการแข่งขันตะกร้อชิงแชมป์โลก”คิงส์คัพ” ครั้งที่ 33ขึ้นที่นี่และขอยืนยันว่าเราจะจัดการแข่งขันให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามเจตนารมณ์ของทางสมาคมฯที่ได้รับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ดีของเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจในกีฬาตะกร้อจะได้ร่วมเชียร์ให้กำลังใจคัดนักกีฬาไทยถึงขอบสนามฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายซึ่งการแข่งขันจะแบ่งออกเป็น 10 รายการประกอบด้วยทีมชุดชายชิงถ้วยพระราชทานรัชกาลที่ 10 ซึ่งไทยเป็นแชมป์ 30 สมัย,ทีมชุดหญิงใครเป็นแชมป์ติดต่อกัน 20 สมัย,คู่ชาย,คู่หญิง,ทีมเดียวชาย,ทีมเดียวหญิง,4คนชาย,4คนหญิง,ตะกร้อลอดห่วงสากลชายแล้วตะกร้อลอดห่วงสากลหญิงโดยมี 30 ชาติเข้าร่วมวันที่ 23 ถึง 30 กันยายนนี้อย่าลืมมาร่วมชมร่วมเชียร์นักกีฬาตะกร้อไทยกันที่ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 โคราชนะครับ”

นักตบสาวไทย อัด ญี่ปุ่น 3-1 เซต ประเดิมชัย เอวีซี คัพ 2018

 

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง SMM “เอส-โคล่า” เอวีซี คัพ ครั้งที่ 6 ปี 2018 เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2561 ที่สนามชาติชาย ฮอลล์ จังหวัดนครราชสีมา ทีมชาติไทย ลงสนามนัดแรก กลุ่ม เอ พบกับ ญี่ปุ่น ที่ลงแข่งขันนัดที่สอง โดยเกมแรกแพ้ เกาหลีใต้ 1-3 เซต

เกมนี้ “โค้ชด่วน” ดนัย ศรีวัชรเมธากุล หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมไทย ส่ง พรพรรณ เกิดปราชญ์, หัตถยา บำรุงสุข, อรอุมา สิทธิรักษ์, วัชรียา นวลแจ่ม, พิมพิชยา ก๊กรัมย์, อัจฉราพร คงยศ เริ่มต้น 6 คนแรก โดยมี ปิยะนุช แป้นน้อย กับ สุพัตรา ไพโรจน์ เป็นตัวรับอิสระ

ด้าน ญี่ปุ่น ใช้งานผู้เล่น 6 คนแรก ประกอบด้วย มิวาโกะ โอซานาอิ, ไรอิ คุโด, ซูริ ยามากูชิ, นิชิกะ ยามาดะ, ฮิโต มิชิโอดะ, มาอิ อิริซาวะ โดยมี โมอิริ ฮานาอิ กับ ไรนะ มิซูสุกิ เป็นตัวรับอิสระ

เริ่มเกมเซตแรก ไทยทำแต้มออกนำ แต่ญี่ปุ่นยังตื้อได้ดี สองทีมสลับทำแต้มมาถึงช่วงท้าย ญี่ปุ่นได้ขึ้นเซตพอยต์ก่อน แต่ไทยยังไล่มาทัน 24-24 ต้องดิวส์ตัดสิน ก่อนที่อัจฉราพรจะขึ้นตีบอลแฉลบบล็อกญี่ปุ่นออก ไทยชนะ 28-26 ขึ้นนำ 1-0 เซต

เซตสอง กลายเป็นญี่ปุ่นที่ลงมาเล่นด้วยความมั่นใจทำแต้มนำห่างไทยตั้งแต่ต้นเกม แม้สาวไทยจะพยายามเร่งเครื่องลดช่องว่างลง แต่ญี่ปุ่นจะเด็ดขาด สามารถปิดเซตได้ด้วยคะแนน 25-21 ตีเสมอ 1-1 เซต

เซตสาม สองทีมออกตัวด้วยฟอร์มที่สูสี ทั้งเกมรับและเกมรุก ทำแต้มสลับกันจนมาถึงช่วงท้าย เท่ากันที่ 24-24 และต้องดิวส์คะแนนพิเศษอีกเซต และยังเป็นทีมไทยที่จังหวะเข้าทำดีกว่า ปิดเซตชนะ 27-25 ขึ้นนำ 2-1

เซตสี่ สาวไทยกลับมาอยู่ในฟอร์มเก่ง ขณะที่ญี่ปุ่นเองเริ่มเกิดข้อผิดพลาดในการเล่น ไทยทำแต้มนำห่างก่อนจะปิดเกมชนะ 25-17

สรุปผลการแข่งขัน ไทย ชนะ ญี่ปุ่น 3-1 เซต 28-26, 21-25, 27-25, 25-17 สาวไทย ชนะเกมในนัดแรก ส่วน ญี่ปุ่น ลงสนาม 2 นัด และแพ้ทั้ง 2 นัด จบอันดับ 3 ของกลุ่มแน่นอนแล้ว

นัดต่อไป ทีมชาติไทย จะลงชิงอันดับ 1 ของกลุ่ม พบกับ เกาหลีใต้ ในวันที่ 18 กันยายน 2561 เวลา 18.30 น. ติดตามชมการถ่ายทอดสดได้ทาง ไทยรัฐทีวี

 

“จิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ” ร่วมแรงร่วมใจสร้างฝายกักเก็บน้ำในพื้นที่ห่างไกล

จิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ ร่วมแรงร่วมใจสร้างฝายกักเก็บน้ำในพื้นที่ห่างไกล

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมเกียรติ ทองครบุรี ผู้ใหญ่บ้านคอกช้าง หมู่ที่ 11 ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี   จ.นครราชสีมา นำประชาชนจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจในพื้นที่ กว่า 50 คน ช่วยกันก่อสร้างฝายน้ำล้นเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ยามหน้าแล้ง เนื่องจากหมู่บ้านคอกช้างไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำสำรองไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภคและ จนเกิดเป็นปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้งเป็นประจำทุกปี  อีกทั้งยังเป็นหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยดูแลผืนป่าสงวนแห่งชาติป่าครบุรี และอุทยานแห่งชาติทับลาน จึงยังไม่มีระบบสาธารณูปโภคทั้งน้ำประปาและไฟฟ้า

ประกอบกับก่อนหน้านี้ทางองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ได้จัดสรรงบประมาณจำนวนกว่า 4 แสนบาท เพื่อมาช่วยทำการขุดลอกคลองน้ำที่ไหลผ่านหมู่บ้านไว้ให้แล้ว ทางชุมชนจึงช่วยกันระดมทุนและวัสดุอุปกรณ์ต่างๆเพื่อมาสร้างฝายน้ำล้นไว้กักเก็บน้ำ โดยประชาชนจิตอาสาเราทำความดีด้วยหัวใจ ได้ช่วยกันสร้างฝายน้ำล้นจำนวน 2 ตัว ให้ลดหลั่นกันไปแบบขั้นบันได ให้สามารถกักเก็บน้ำเป็นระยะๆ

อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูน้ำหลาก ปริมาณน้ำทั้งหมดที่ไหลลงมาจากเขาคอกช้างซึ่งอยู่ด้านบน จะไหลผ่านหมู่บ้านจนไม่มีเหลือ เพราะบริเวณหมู่บ้านเป็นที่สูงและไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำ ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าฝายที่สร้างขึ้นใหม่นี้จะสามารถกักเก็บน้ำในช่วงฤดูฝนนี้ ไว้ให้ได้ใช้ต่อไปในอนาคต

>คลิป<<

 

สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา บูรณะโบราณสถานฉุกเฉิน ประตูชุมพล อายุกว่า 362 ปี

สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา บูรณะโบราณสถานฉุกเฉิน ประตูชุมพล อายุกว่า 362 ปี สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า อนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี หรือ คุณย่าโม ซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวจังหวัดนครราชสีมา ได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2477 ประดิษฐานที่หน้าประตูชุมพล หรือเมื่อ 84 ปีที่ผ่านมา ซึ่งประชาชนทั่วไปมีความเชื่อว่า ท่านมีความศักดิ์สิทธิ์ ขอพรอะไรจะได้ตามใจหมาย จนเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ อีกทั้งท่านคือวีรสตรีผู้กอบกู้เมืองโคราช แต่เดิมนั้นประตูชุมพล เป็นประตูเมืองทางทิศตะวันตกของเขตเมืองเก่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองนครราชสีมาเป็นเมืองหน้าด่านเมื่อ ปี 2199 ซึ่งเป็นปีที่พระองค์เสด็จขึ้นครองกรุงศรีอยุธยา และโปรดเกล้าฯให้สร้างกำแพงประตูเมืองอย่างแข็งแรง เพื่อป้องกันการรุกรานจาก เขมร ญวน ลาว โดยเกณฑ์ช่างจากกรุงศรีอยุธยา เกณฑ์แรงงานจากเมืองโคราชและเมืองเสมาช่วยกันสร้างขึ้น ซึ่งในขณะนั้นมีนายช่างชาวฝรั่งเศสเป็นผู้ออกแบบและวางผังเมืองให้ ปัจจุบันได้ชำรุดทรุดโทรมตามกาลเวลา ทางสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา จึงได้มีการบูรณะซ่อมแซมโบราณสถานฉุกเฉินเร่งด่วน

ด้าน นายจารึก วิไลแก้ว ผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา เปิดเผยว่า ตามที่สำนักศิลปากรที่ 10 นครราชสีมา ได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2561 ตามโครงการบูรณะโบราณสถานฉุกเฉินเร่งด่วน งบลงทุน (ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง) เพื่อใช้ซ่อมแซมประตูชุมพล ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา โดยมีห้างหุ้นส่วนจำกัด ปุราณรักษ์ เป็นคู่สัญญา เป็นจำนวนเงิน ทั้งสิ้น 256,000 บาท (สองแสนห้าหมื่นหกพันบาทถ้วน) โดยสัญญาเริ่มต้นวันที่         10 สิงหาคม 2561 สิ้นสุด วันที่ 17 พฤศจิกายน 2561 ตามสำเนาสัญญาจ้าง เลขที่ 5/2561 ลงวันที่        15 สิงหาคม 2561

ด้านนักท่องเที่ยว เล่าว่า การที่มีการซ่อมแซมประตูชุมพล ใหม่นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากว่าเป็นประตูเก่าแก่ ที่ยังคงมีโครงสร้างเก่าหลงเหลืออยู่ สืบทอดให้คนรุ่นหลังได้ดูและศึกษาประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบัน อีกทั้งยังเป็นหน้าตาของชาวจังหวัดนครราชสีมาอีกด้วย

>คลิป<<

โรงพยาลบาลมหาราชนครราชสีมาประชุมวิชาการครบรอบ 109ปี ในเขตสุขภาพที่9 -คุณเบสท์ บรรยาย จิตอาสา จิตสาธารณะ สุขใจ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยคารมนำพาพยาบาลแพทย์บุคลากรทางสาธารณสุข!!แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

โรงพยาลบาลมหาราชนครราชสีมาประชุมวิชาการครบรอบ 109ปี ในเขตสุขภาพที่9  –คุณเบสท์ บรรยาย จิตอาสา จิตสาธารณะ สุขใจ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วยคารมนำพาพยาบาลแพทย์บุคลากรทางสาธารณสุข!!แทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่

 

.เมื่อวันที่ 17 กันยายนพ.ศ.2561ที่ห้องประชุมโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา นายแพทย์สมชัย อัศวสุดสาคร ผู้อำนวยการโรงพยาลบาลมหาราชนครราชสีมาเป็นประธานเปิดการประชุมวิชาการ ครบรอบ 109 ปี วันสถาปนาโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

การประชุมครั้งนี้ได้จัดการบรรยายทางวิชาการ เน้นด้านอุบัติเหตุสาธารณภัย และการเตรียมความพร้อมของบุคลากรสาธารณสุข การเสนอโปสเตอร์ผลงานความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุขของโรงพยาบาลฯ และกิจกรรมสัปดาห์บอกรัก โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา

 

“บอกรักได้บุญ”เพื่อประชาสัมพันธ์และเชิญร่วมสมทบทุนก่อสร้างอาคารศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉินประกอบกับในปีนี้ได้มีกิจกรรม “109 มหาราช” เพื่อสมทบทุนก่อสร้างอาคารเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี (ศูนย์อุบัติเหตุและฉุกเฉิน) ซึ่งได้จัดกิจกรรม ๑๐๙ มหาราช Charity Concert  และ 109มหาราช Run for Life ไปแล้ว กิจกรรมประชุมวิชาการครบรอบ 109ปี ก็เป็นหนึ่งในกิจกรรมดังกล่าว ผู้ร่วมประชุม คือ ผู้บริหารสาธารณสุข แพทย์บุคลากรทางสาธารณสุขในเขตสุขภาพที่9

 

จัดงานวันที่ 17-18กันยายน 2561 คาดว่าการประชุมครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อวงการแพทย์และสาธารณสุขที่จะได้รับความรู้และนวตกรรมทางการรักษาพยาบาล ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากการทำงานที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับตนเองและหน่วยงาน อนึ่งการประชุมวิชาการครั้งนี้ โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาได้รับเกียรติจาก พ.ท.นพ.ภาคย์ โลหารชุน ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 จังหวัดนครราชสีมา บรรยายพิเศษ         “เล่าประสบการณ์ช่วยชีวิต 13 หมูป่าในถ้ำ : การเตรียมความพร้อมของทีมรักษาพยาบาล” และคุณอรพิมพ์ รักษาผล      หรือคุณเบสท์ บรรยายพิเศษ เรื่อง จิตอาสา จิตสาธารณะ สุขใจ ไม่มีที่สิ้นสุด ด้วย

นายแพทย์สมชัย อัศวสุดสาคร ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา เปิดเผยว่า โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมามีนโยบายจัดประชุมวิชาการเป็นประจำทุกปีในช่วงครบรอบวันก่อตั้งของโรงพยาบาล สำหรับในปี2561 การจัดประชุมวิชาการครบรอบ 109 ปี ครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ผลงาน ชื่อเสียง ความสามารถในด้านการให้บริการด้านวิชาการ งานวิจัย และการเรียนการสอน รวมทั้งการพัฒนาเครือข่ายของโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ภายใต้คำขวัญ “109มหาราช โรงพยาบาลของประชาชน” การประชุมครั้งนี้ได้จัดการบรรยายทางวิชาการ               

ตำรวจภาค3จัดกิจกรรสรุปบทเรียนสะท้อนคิด ในโครงการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถผู้เสียชีวิตจาก อบถ.

ตำรวจภาค3จัดกิจกรรสรุปบทเรียนสะท้อนคิด ในโครงการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถผู้เสียชีวิตจาก อบถ.


วันที่ 13 กันยายน 2561โรงแรมแคนทารีโคราชห้องลำตะคอง 3 จังหวัดนครราชสีมาจัดกิจกรรมสรุปบทเรียนสะท้อนคิดโครงการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถผู้เสียชีวิตจาก อบถ.โดย โดยพลตำรวจโทดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค3 ประธาน พล.ต.ต. โกสินทร์ หินเธาว์ผู้ดำเนินการเสวนาและผส.ดร.ปนัดดา ชำนาญสุข (สสส. )ผู้ดำเนินรายการ
การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในประเทศไทยมีจำนวนผู้เสียชีวิตในช่วงดังกล่าวจึงอยู่ที่เฉลี่ยอยู่ที่12,153 รายต่อปีหากคิดเป็นมูลค่าความสูญเสียที่ลดลงตามที่ธนาคารโลกได้มีการศึกษาไว้ในการเสียชีวิต 1 คนมีมูลค่าความสูญเสียอยู่ที่ 6.2 ล้านประเทศไทยจึงมีความสูญเสียถึง7,538,600,000บาทและยังมีการเสียชีวิตต่อประชากรแสนคนสูงเป็นอันดับที่สองอยู่ที่ 36.2 ต่อประชากรหนึ่งแสนคนและอาจถึงลำดับ 1 ของโลกหากยังไม่ดำเนินการแก้ไข

ตำรวจภูธรภาค 3มีเขตพื้นที่รับผิดชอบในพื้นที่อีสานใต้เป็นพื้นที่ที่ที่มีปริมาณรถสัญจรผ่านไปมาในเขตพื้นที่จำนวนมากตลอดทั้งปีเนื่องจากสภาพภูมิประเทศที่เชื่อมโยงติดต่อกับพื้นที่ข้างเคียงกับภาคอื่นอีกทั้งยังมีการตัดถนนเพิ่มขึ้นจำนวนมากทำให้สถานการณ์แนวโน้มการเกิดอุบัติเหตุรุนแรงเพิ่มสูงขึ้นโดยเฉพาะจังหวัดนครราชสีมาซึ่งมีพื้นที่รับผิดชอบและประชากรมากที่สุดในประเทศไทยเป็นประตูสู่อีสานเส้นทางคมนาคมยาวกว่า 8,000 กิโลเมตรมีทางหลวงสายสำคัญเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุจราจรในปี 2560 มีจำนวนถึง 512 รายเป็นอันดับ 1 ของประเทศ
ตำรวจภูธรภาค 3 จึงได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)โดยมีมูลนิธิป้องกันอุบัติเหตุทางถนนและอาชญากรรมเป็นที่ปรึกษาจัดทำโครงการสร้างสรรค์นวัตกรรมในการลดสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนพื้นฐานระหว่างงานสืบสวนอบถ.ตำรวจภูธรภาค 3ใน 8 จังหวัดที่รับผิดชอบระวังเดือนกุมภาพันธ์ 2561ถึงเดือนธันวาคม 2561 ทำการสืบสวนวิเคราะห์หาสาเหตุและสร้างสรรค์นวัตกรรมในการป้องกันอุบัติเหตุพบว่าเกิดจากพฤติกรรมของผู้ขับขี่เป็นปัจจัยหลักไม่ว่าจะเป็นการขับรถเร็วเกินกําหนดตัดหน้ากระชั้นชิดหลับในเมาแล้วขับเป็นสาเหตุหลักโดยมีรถถนนและสภาพแวดล้อมเป็นองค์ประกอบรองลงมาอีกครั้งพบว่าร้อยละ 80 ของผู้เสียชีวิตไม่ใช้อุปกรณ์นิรภัยเช่นไม่สวมหมวกนิรภัยไม่คาดเข็มขัดนิรภัยจึงได้จัดทำนวัตกรรมในการลดอุบัติเหตุคือนวัตกรรมทำคนน้อยให้เป็นคนมากโดยให้ตำรวจสายตรวจช่วยกวดขันการสวมหมวกนิรภัยการคาดเข็มขัดนิรภัยนอกเหนือจากการออกตรวจปกตินวัตกรรมบูรณาการภาคีเครือข่ายช่วยระดมความคิดกำหนดแนวทางนวัตกรรมคัดเลือกหมู่บ้านวินัยจราจรนวัตกรรมขับขี่ปลอดภัยของหน่วยงานรัฐนวัตกรรมรวมใจเป็นหนึ่งลดอุบัติเหตุจราจรนวัตกรรมป้ายช่วยชีวิตนวัตกรรมยางสีชี้ขอบถนนนวัตกรรมมอเตอร์ไซค์คู่ใจวัยโจ๋นวัตกรรมสะท้อนแสงปลอดภัยใส่ใจอุบัติเหตุนวัตกรรมจุดจอดปลอดภัยนวัตกรรมปรับพื้นฐานจิตใจสร้างวินัยจราจรที่จะดำเนินร่วมกับศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนนทั้ง 8 จังหวัดขับเคลื่อนไปด้วยกันจากการดำเนินการในห้วงที่ผ่านมาเมื่อเปรียบเทียบสถิติผู้เสียชีวิตระหว่างฐานข้อมูลของตำรวจภูธรภาค 3 2561 จากสถิติผู้เสียชีวิตจากสาธารณสุขจังหวัดปีพศ. 2560 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนสิงหาคมพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลงเหลือถึงร้อยละ 20 .2( ข้อมูลเมื่อวันที่ 11 ก.ย.61)
ในวันนี้ตำรวจภูธรภาค 3 ได้จัดกิจกรรมสรุปบทเรียนสะท้อนคิดโครงการสร้างสรรค์นวัตกรรมรถผู้เสียชีวิตจากอบถ.ฯโดยให้ผู้นำหน่วยในสังกัดตำรวจภูธรภาค 3 และภาคีเครือข่ายได้มีส่วนร่วมระดมความคิดเห็นและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เพิ่มเติมมุมมองประสบการณ์ระหว่างกันเพื่อให้เกิดการทบทวนวิธีคิดกระบวนการทำงานและมีแนวโน้มในการพัฒนาการป้องกันอุบัติเหตุต่อไปอย่างยั่งยืน
สถานการณ์ด้านความปลอดภัยทางถนนของโลกเขียนถึงการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทั้งโลกในช่วงปี 2558-2560มีจำนวนหลายล้านคนแม้ว่าจะมีการกำหนดมาตรการแนวทางต่างๆในช่วงเวลาที่ผ่านมาแต่ยังไม่สามารถหยุดยั้งการเสียชีวิตบนท้องถนนได้อย่างที่คาดหวังไว้

https://youtu.be/eA5cMzgrzrI

หนุ่มโคราช ระดมเงินสร้างเมรุเผาสัตว์เลี้ยงเป็นสาธารณะประโยชน์ให้คนรักสัตว์อุทิศส่วนกุศลในวาระสุดท้าย

หนุ่มเมืองโคราช รักสุนัขเหมือนคนในครอบครัว ระดมเงินสร้างเมรุเผาสัตว์เลี้ยงเป็นสาธารณะประโยชน์ให้คนรักสัตว์อุทิศส่วนกุศลในวาระสุดท้าย

จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊ก ชื่อ โย เซฟวัน ได้โพสต์ ภาพบรรยากาศการประกอบพิธีส่งมอบสถานที่ศาลา และเตาเผาสัตว์เลี้ยงให้วัดหนองปรู มีข้อความระบุว่า “ ฝากแชร์ มีแล้วโคราช เตาเผาสัตว์เลี้ยงไม่คิดค่าบริการ      ( จ่ายแค่ค่าถ่านไม่เกิน 200 บาท) เปิดให้ใช้งานแล้ว ทางเข้าประตู 1 มทส. วัดหนองปรู Cr ภาพ ED kitda ” ได้รับความสนใจจากชาวเน็ต และคนรักสัตว์ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 9 กันยายน ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบที่วัดหนองปรู หมู่ 4 ต.หนองจะบก อ.เมือง จ.นครราชสีมา พบสิ่งปลูกสร้างคล้ายเมรุ แต่มีขนาดเล็กกว่า ทาสีขาวทั้งหลัง พร้อมมีเตาเผาขนาดเล็กอยู่ภายใน รอบบริเวณตั้งรูปปั้นสุนัขกว่า 10 ตัววางรอบบริเวณทางขึ้น โดยมี นายยุทธนา หรือโย  ชัยศิริ อายุ 40 ปี เจ้าของธุรกิจจำหน่ายสินค้าไอที ตลาดเซฟวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นผู้ระดมเงินบริจาคก่อสร้าง ฯ นำเดินชม และอธิบายสาเหตุในการดำเนินการ

นายยุทธนา หรือโย ฯ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงต้นเดือนกันยายน ปีที่ผ่านมา “น้องอุษา” สุนัขพันธุ์ เฟรนช์ บูลด็อก เพศเมีย วัย 4 ปี เป็นสุนัขคู่ใจ เลี้ยงดูเป็นอย่างดี ราวกับสมาชิกในครอบครัว ได้ตายด้วยโรคลมแดด หรือฮีทสโตรก มีความรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก ด้วยความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงตนต้องการให้มีการประกอบพิธีฌาปนกิจ แต่ในพื้นที่ มีสถานที่เพื่อประกอบพิธีให้สัตว์เลี้ยงเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ในวาระสุดท้าย ไม่เพียงพอ

จนกระทั่งพบว่าที่วัดหนองปรู ฯ มีเตาเผาสำหรับสัตว์เลี้ยง แต่มีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถรองรับสุนัขที่มีขนาดใหญ่ได้ จำเป็นต้องก่อสร้างใหม่ โชคดีที่ผ่านมาตน และน้องอุษา เคยร่วมกิจกรรมกับมูลนิธิ องค์กรเกี่ยวกับการดูแลอุปการะสัตว์ รวมถึงโรงพยาบาลรักษาสัตว์ และเครือข่ายผู้รักสัตว์ ได้ร่วมกัน ระดมเงินทุนใช้ในการก่อสร้าง ฯ มูลค่ากว่า 2 แสนบาท ซึ่งได้รับความอนุเคราะห์จากวัดหนองปรู ให้ใช้พื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง พร้อมฝังเถ้ากระดูกของ “น้องอุษา” ไว้ด้านใต้ศาลา ฯ ใช้ชื่อ “ ศาลาอุษาวดี และเตาเผาสัตว์ ” ให้เป็นสาธารณะประโยชน์ เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ดวงวิญญาณ “ น้องอุษา ” ไปสู่ภพภูมิที่ดี

ประชาชนทั่วไปสามารถนำสัตว์เลี้ยงทุกชนิดมาใช้บริการได้โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย แต่ต้องจ่ายค่าเชื้อเพลิงไม่เกิน 200 บาท ส่วนเงินบริจาคในการประกอบพิธีสวดบังสุกุล คล้ายกับการเผาศพของคนแต่มีการตัดบทสวดมนต์ออกไป รวมทั้งเงินค่าบำรุงวัด ไม่กำหนด อยู่ที่กำลังทรัพย์ ความสมัครใจของเจ้าภาพ ติดต่อนัดหมายเพื่อประกอบพิธีฯ ได้ที่พระสุทัศน์  กิตฺติสาโร ( สืบแสนศรี) หมายเลขโทรศัพท์มือถือ 098 -5454336

Cr.ประสิทธิ์ วนะชกิจ

 

โครงการ “พี่ทหารสานฝันก้าวสู่ Thailand 4.0” รุ่นที่ 6/2561”

พิธีเปิดโครงการ“พี่ทหารสานฝันก้าวสู่ Thailand 4.0 รุ่นที่ 6”

วันที่ 11 กันยายน 2561เวลา 13.30น.พิธีเปิดโครงการ “พี่ทหารสานฝันก้าวสู่ Thailand 4.0” รุ่นที่ 6/2561” ณ เทอร์มินอล ฮอลล์ ชั้น 4ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21อ.เมือง จ.นครราชสีมา
โดยพลโท ธรากร ธรรมวินทร แม่ทัพภาคที่ 2ประธาน
นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31ผู้อำนวยการสถานศึกษาและน้องๆ เยาวชนที่รักทุกคน
พิธีเปิดโครงการ“พี่ทหารสานฝันก้าวสู่ Thailand 4.0 รุ่นที่ 6” โครงการนี้เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักนายกรัฐมนตรีกองทัพภาคที่ 2และกระทรวงศึกษาธิการเป็นโครงการที่เสริมสร้าง ความพร้อมให้เยาวชนซึ่งเป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนำไปเตรียมตัวในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ได้อย่างมีประสิทธิภาพและเปิดโอกาสให้เยาวชนได้เรียนรู้จากวิทยากรที่มีชื่อเสียงมีความสามารถ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและพร้อมเติบโตเป็นประชากร ของประเทศชาติที่มีคุณภาพนำความรู้ความสามารถไปพัฒนาประเทศของเราต่อไปและสิ่งที่สำคัญคือ
เราจะต้องเป็นคนดีไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดมีความรักชาติ เทิดทูนสถาบันศาสนาและพระมหากษัตริย์มีความรัก ต่อสถาบันครอบครัวและสังคมมีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะนำพาให้ชีวิตมีความสุขประเทศชาติ มีความเจริญก้าวหน้าผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในห้วงเวลาที่ได้เรียนรู้ในโครงการนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเยาวชนที่เข้าร่วมโครงการ
สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณ สถานศึกษาส่วนราชการ ที่ให้การสนับสนุนและให้ความร่วมมืออย่างดียิ่ง ทำให้โครงการ “พี่ทหารสานฝันก้าวสู่ Thailand 4.0รุ่นที่ 6 ครั้งนี้เกิดขึ้นและบรรลุตามวัตถุประสงค์เป็นอย่างดี
วัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 65 พรรษาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร์เทพยวรางกูร เพื่อยกระดับ เตรียมความพร้อมนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อสนองนโยบาย พัฒนาสังคมด้านสังคม มุ่งกระจายโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างเท่าเทียม เพื่อพัฒนาศักยภาพเยาวชนในทุกด้าน ให้ก้าวสู่นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการปฏิรูปประเทศในทุกๆด้านรวมทั้งปลูกฝังเยาวชนมีความรักชาติ ในสถาบันชาติปฏิบัติตนตามหลักของศาสนาและมีความเคารพเทิดทูนในสถาบันพระมหากษัตริย์ โดย มีนักเรียนศึกษาวิชาทหารจากศูนย์ฝึกนักศึกษาวิชาทหารมณฑลทหารบกที่ 21 มณฑลทหารบกที่ 25 และมณฑลทหารบกที่ 26 เข้าร่วมโครงการจำนวน 1,000 คน และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และ 6 สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมาจำนวน 600 คนรวมทั้งสิ้น 1,600 คน การดำเนินการครั้งนี้ ได้รับข้อมูลมาจากสำนักนายกรัฐมนตรี รายการสั่งซื้อของที่ระลึกให้กับนักเรียนที่เข้าร่วมโครงการรวมทั้งได้รับความร่วมมือจาก ผู้อำนวยการโรงเรียน ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาจารย์ ศักดิ์ครินซ์ จงหาญ ณ ศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21 ที่ได้ให้ความอนุเคราะห์สถานที่ในการจัดกิจกรรม ตามโครงการการในครั้งนี้
ผู้สื่อข่าว​รายงานว่่าในการจัดงาน​ครั้งนี้​ มีการจัดกิจกรรม​การแสดง​ พูดคุย​ให้รางวัลแก่นักเรียนที่ตอบคำถาม​ต่อจากนั้นก็ได้ถ่ายรูปหมู่คู่กันกับนักเรียน​และนักศึกษาวิชาทหาร​กันอย่างเป็นกันเองกับพันโทนายแพทย์ภาคย์ โลหารชุน ผู้บังคับกองพันเสนารักษ์ที่ 3 และครูนะอาจารย์ภาษาอังกฤษ ผู้จัดการโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ