คนร้ายบุกพังบ้านเสี่ยไร่มันขณะบวชเป็นพระ ได้เงินสด ทองคำ บัญชีเงินฝากรวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท>>มีคลิป

คนร้ายบุกพังบ้านเสี่ยไร่มันขณะบวชเป็นพระ ได้เงินสด ทองคำ บัญชีเงินฝากรวมมูลค่ากว่า 2.5 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวได้รับการประสานจากพระจักรา อู่ทอง อายุ 34 ปี   เจ้าของบ้านเลขที่ 135 หมู่ที่ 7 ต.ตะแบกบาน  อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา ว่าถูกคนร้ายไม่ทราบจำนวน บุกงัดบ้านพักรื้อค้นเอาทรัพย์สินที่อยู่ในบ้านรวมถึงตู้เซฟบรรจุสิ่งของมีค่า หลบหนีไป ซึ่งทางผู้เสียหายมาพบร่องรอยการงัดเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. วันที่ 14 ก.ย.ที่ผ่านมา  และได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาตรวจสอบในเบื้องต้นแล้ว แต่ยังต้องรอหน่วยพิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บหลักฐาน และรอยนิ้วมือแฝงของคนร้ายอีกขั้น

เบื้องต้น พระจักรา เจ้าของบ้าน กล่าวว่า ตนเองนั้นเพิ่งบวชเป็นพระเมื่อเดือนกรกฎาคม 61 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนบวชนั้นได้เก็บเกี่ยวมันสำปะหลังและผลผลิตทางการเกษตรหลากหลายอย่างทั้ง ที่ดินของตนเองและที่ดินเช่าเหมารวมกับคนอื่นเกือบ 200 ไร่ ซึ่งได้เงินจากการเก็บเกี่ยวมานับล้านบาท แต่ยังไม่ทันได้นำไปฝากทั้งหมดก็ต้องบวชเสียก่อน จึงนำเงินที่เหลืออยู่ไปเก็บไว้ภายในเซฟที่อยู่ภายในบ้าน และส่วนหนึ่งก็จะเก็บไว้ลงทุนต่อ ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั้นไม่มีใครอยู่ในบ้านเพราะภรรยาไปทำงาน แม่ยายกลับไปเยี่ยมบ้านที่อำเภอโนนสูง จ.นครราชสีมา ส่วนลูกก็ไปเรียน ตั้งแต่เช้า

สำหรับทรัพย์สินที่หายไป เป็นเงินสดที่รวบรวมไว้เพื่อเตรียมจะทอดกฐินหลังอออกพรรษาจำนวนอยู่ภายในกระเป๋าที่อยู่นอกเซฟจำนวน 200,000 บาท ส่วนในเซฟมีเงินสด 500,000 บาท ทองรูปพรรณน้ำหนักประมาณ 25 บาท รวมถึงบัญชีเงินฝากธนาคารอีก 2 แห่ง รวมเงินในบัญชีประมาณ  1.5 ล้านบาท รวมทรัพย์สินที่สูญหายทั้งสิ้นประมาณ 2.5 ล้านบาทล่าสุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดชุดสายสืบลงพื้นที่ติดตามหาข่าวและเก็บข้อมูลหลักฐานต่างมาประกอบการสืบสวนคดีแล้ว และอยู่ระหว่างการรอเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานเข้ามาเก็บหลักฐานเพิ่มเติม

 

 

ตำรวจครบุรีโคราช รวบเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” พร้อมของกลางกว่า 1,200 เม็ด>>มีคลิป

ตำรวจครบุรีโคราช รวบเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” พร้อมของกลางกว่า 1,200 เม็ด

ที่ห้องงานสืบสวน สภ.ครบุรี อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พ.ต.ท.กมล วงศ์แสนสาน สารวัตรสืบสวน สภ.ครบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ร่วมทำการสอบากคำ นายนนทพัทธ์ หรือ อ๊อฟ  นินดีสระน้อย อายุ 23 ปี บ้านเลขที่ 140 หมู่ที่ 16 ต.หนองบุญมาก อ.หนองบุญมาก จ.นครราชสีมา  หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายยาบ้าแก๊ง “มันทุกเม็ด” หลังถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนติดตามจับกุมได้พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 1,233 เม็ด เมื่อคืนที่ผ่านมา

โดยการจับกุมดังกล่าวสืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน สภ.ครบุรี ทำการสืบสวนขยายผลจากผู้เสพยาบ้าในพื้นที่ จนทราบว่านายนนทพัทธ์ เป็นหนึ่งในเอเย่นที่นำยาบ้ามาจำหน่ายให้กับกลุ่มวัยรุ่นในพื้นที่อำเภอครบุรี จึงทำทีติดต่อขอซื้อยาบ้าจากนายนนทพัทธ์ จนนายนนทพัทธ์ หลงเชื่อและนำยาบ้ามาจำหน่ายให้กับสายลับ ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 110 เม็ด ซึ่งบรรจุถุงสีดำมีตรารูปแอปเปิ้ลใส่มาในกระเป๋าเสื้อ จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวไปค้นที่บ้านพักตามบัตรประชาชน ที่อำเภอหนองบุญมาก พบยาบ้าเพิ่มอีกจำนวน 1,123 เม็ด จึงนำตัวมาทำการสอบสวนขยายผล

พ.ต.ท.กมล วงศ์แสนสาน สารวัตรสืบสวน สภ.ครบุรี เปิดเผยว่า จากการสืบสวนในเบื้องต้นพบมีหลักฐานการติดต่อซื้อขายยาบ้าผ่านทางโทรศัพท์โดยผู้ต้องหาใช้เฟสบุ๊คในการติดต่อนำยาบ้ามาจากเครือข่ายยาบ้ารายใหญ่ของประเทศคือ แก๊งมันทุกเม็ด และผู้ต้องหาก็ยอมรับว่าติดต่อกลับเครือข่ายดังกล่าวจริง แต่อ้างว่าถูกล่อลวงให้เข้ามาเกี่ยวพัน เนื่องจากเป็นคนที่ไม่มีงานทำ และเครือข่ายแก๊งมันทุกเม็ดก็เป็นผู้ติดต่อเสนองานมาให้ทำจึงสมัครเข้าไปลองทำดู โดยเงื่อนไขในการสมัครต้องส่งเอกสารบัตรประจำตัวประชาชนและรหัสเข้าถึงเพสบุ๊คไปให้ทางเครือข่ายแก๊ง  จากนั้นก็จะได้รับการติดต่อให้ไปรับสิ่งของมาจำหน่ายโดยที่ผู้ต้องหาไม่รู้ว่าเป็นอะไร  จนเห็นของจึงรู้ว่าเป็นยาบ้า แต่จะถอนตัวก็ไม่ได้เพราะทางแก๊งมันทุกเม็ดข่มขู่ว่าจะส่งคนมาทำร้ายร่างกาย พร้อมกับส่งคลิปการณ์รุมทำร้ายคนอื่นๆมาข่มขู่ จึงจำเป็นต้องทำตามคำสั่ง  กระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะทำการสวบสวนขยายผลเพิ่มเติมหาเครือข่ายที่ยังเหลืออยู่มาดำเนินคดี ก่อนจะแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า)ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย แล้วนำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.ครบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

พบโคตายติดกัน 3 ตัว และล้มป่วย 2 ตัว ที่ อ.บัวใหญ่ โคราช ปศุสัตว์เร่งหาสาเหตุ ป้องกันความแตกตื่น

พบโคตายติดกัน 3 ตัว และล้มป่วย 2 ตัว ที่ อ.บัวใหญ่ โคราช ปศุสัตว์เร่งหาสาเหตุ ป้องกันความแตกตื่น

            ที่บ้านเลขที่ 87 บ้านห้วยคร้อ หมู่ 5 ต.ห้วยยาง อ.บัวใหญ่ เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 9 กันยายน นายอำนาจ  สุรินทร์ต๊ะ ปศุสัตว์อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเจ้าหน้าที่ปกครองได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีพบโคตายจำนวน 3 ตัว โดยไม่ทราบสาเหตุ

พบนายอนุชาติ  ถมกลาง อายุ 44 ปี เจ้าของโคและเพื่อนบ้านกำลังเฝ้าดูแม่โคและลูกอ่อน ซึ่งมีอาการเชื่องซึมกินหญ้าได้น้อยกว่าปกติพร้อมจับกลุ่มพูดคุยด้วยความรู้ ความเข้าใจสันนิษฐานสาเหตุโคล้มตายรวม 3 ตัว ในระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์และป่วยอีก 2 ตัว เกิดจากโรคระบาด อาจทำให้โคของนายอนุชาติ ฯ จำนวน 10 ตัว ที่เลี้ยงรวมกับโคที่ตาย มีโอกาสติดเชื้อเพิ่มรวมทั้งขยายวงลุกลามเกิดโรคระบาดในพื้นที่ เนื่องจากในละแวกดังกล่าวมีการเลี้ยงโค-กระบือเป็นจำนวนมาก นายอำนาจ ฯ และเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบโคที่ที่ล้มป่วยเป็นแม่โค อายุ 7 ปี และลูกอ่อน พบอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย จึงให้ยาปฏิชีวนะ ยาบำรุง โดยให้รีบเคลื่อนย้ายโคป่วยไปกักบริเวณและให้เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดรวมทั้งพ่นยาฆ่าเชื้อโรคและให้นายอนุชาติ ฯ จัดการโรงเรือน (คอกเลี้ยงสัตว์) ให้เหมาะสม เน้นความสะอาดและลดความแออัด

นายอำนาจ ฯ ปศุสัตว์อำเภอบัวใหญ่ เปิดเผยว่า โคของนายอนุชาติ ซึ่งเลี้ยงไว้จำนวน 13 ตัว ทั้งหมดเป็นโคเนื้อ พันธุ์พื้นเมืองได้ฉีดวัคซีนป้องกันโรคครบถ้วย โดยเลี้ยงแบบชาวบ้านปล่อยให้โคเดินหากินหญ้าตามแปลงเกษตรกันเอง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาในพื้นที่มีฝนตกแทบทุกวัน นายอนุชาติ ฯ จึงกักโคไว้ในโรงเรือนและออกไปหาหญ้าที่ขึ้นตามไร่อ้อยและไร่มันสำปะหลังมาให้โคกิน ต่อมาโคตัวผู้อายุเฉลี่ย 8 เดือน ถึง 1 ปี รวม 3 ตัว ได้ล้มป่วยกะทันหันและทยอยตาย เบื้องต้นมีอาการอ่อนเพลียไม่กินหญ้าและมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ลักษณะปอดติดเชื้อ เจ้าของได้นำซากไปฝังก่อนหน้านี้ จึงไม่สามารถชันสูตรพลิกศพตามหลักการสัตวแพทย์ได้ โรงเรือนที่ปลูกสร้างอยู่ใกล้ๆบ้านพักมีพื้นที่คับแคบ ไม่ได้กางมุ้งตามพื้นค่อนข้างสกปรก มีความชื้นแฉะทั้งน้ำฝนและมูลสัตว์จนส่งกลิ่นเหม็น การเป็นอยู่อย่างแออัด เมื่อมีฝนตกโคจะมายืนรวมกัน เพื่อหนีละอองน้ำฝนประกอบกับนายอนุชาติ ที่ต้องออกไปตระเวนหาหญ้าตามแปลงเกษตรกรรม โดยไม่สอบถามเจ้าของเกี่ยวกับได้ใช้ยาฆ่าหญ้าหรือไม่ ซึ่งหญ้าอาจมีสารพิษตกค้าง เมื่อโคกินอาจทำให้ล้มป่วยตาย ส่วนโคของชาวบ้านที่เลี้ยงในละแวกใกล้เคียง เบื้องต้นยังมีสุขภาพ แข็งแรง เนื่องจากได้จัดการโรงเรือนเหมาะสม เพื่อป้องกันโรคและไม่ให้เกิดความแตกตื่น ตนได้ชี้แจงให้ความรู้ทำความเข้าใจกับผู้นำชุมชนและเกษตรกรผู้เลี้ยงโค-กระบือในหมู่บ้าน เน้นการจัดการโรงเรือนให้เหมาะสมและการเฝ้าดูพฤติการณ์โค-กระบือ ส่วนสาเหตุการป่วยและตาย เบื้องต้นไม่ใช่โรคระบาดอย่างแน่นอน อยู่ระหว่างการสอบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง

เมืองโคราชผุดโครงการ “รถรางเพื่อน้อง” บริการฟรี! หวังแก้ปัญหารถติดชั่วโมงเร่งด่วนบนถนนมิตรภาพ

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ  “รถรางเพื่อน้อง” โดยมีตัวแทนจากตำรวจภูธรภาค 3 เทศบาลนครนครราชสีมาและบริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด ร่วมเปิดโครงการอย่างเป็นทางการ ณ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์โคราช

พันตำรวจโท โกสินทร์ สะอาดวงศ์ รองผู้กำกับการจราจร สภ.เมืองนครราชสีมา เผยว่า “จากแนวคิดของ สถานีตำรวจภูธรเมืองนครราชสีมา ร่วมกับ เทศบาลนครนครราชสีมา จัดทำโครงการ “รถรางเพื่อน้อง” หวังแก้ปัญหาการจราจรบนถนนมิตรภาพในช่วงเวลา 07.00-08.00 น. โดยเส้นทางนี้มีสถานศึกษาขนาดใหญ่ตั้งอยู่บริเวณดังกล่าวถึง 4 แห่ง ได้แก่ โรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา,โรงเรียนเมืองนครราชสีมา, โรงเรียนสุรนารีวิทยา และวิทยาลัยอาชีวศึกษานครราชสีมา ซึ่งมีนักเรียน นักศึกษา รวมกันทั้ง 4 แห่งกว่า 20,000 คน ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าวเป็นช่วงเวลาเร่งด่วนที่ผู้ปกครองต้องเดินทางไปส่งนักเรียน นักศึกษา ส่งผลให้มีปริมาณรถบนท้องถนนมากและทำให้รถติด โดยเฉพาะเส้นทางสี่แยกตลาดประปาไปจนถึงบริเวณสามแยกถนนสุรนารายณ์ ตำบลในเมือง อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ทำให้โครงการนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายนที่ผ่านมา จากการดำเนินโครงการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 มีสถิตินักเรียนใช้บริการนับตั้งแต่วันที่ 25 มิถุนายน 2561 ถึง5 กันยายน 2561 จำนวนทั้งสิ้น 10,542 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 4,180 คน และช่วงเย็น 6,362 คน ทำให้ปริมาณนักเรียนที่ใช้บริการรถรางเฉลี่ยอยู่ที่ 211 คน/วัน โดยกระแสตอบรับจากนักเรียนและผู้ปกครองเป็นไปในทิศทางที่ดี และต้องการให้ขยายโครงการเพิ่มเติม

นายสุรวุฒิ เชิดชัย นายกเทศมนตรีนครนครราชสีมากล่าวเสริมว่า “แรกเริ่มโครงการได้จัดรถราง จำนวน 3 คันและภายหลังได้รับการสนับสนุนรถรางจากห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์โคราชอีก 2 คัน ทำให้ปัจจุบันมีรถรางไว้บริการรับ-ส่ง ไปยังสถานศึกษาทั้ง 4 แห่ง โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นจำนวน 5 คัน ซึ่งรองรับนักเรียน นักศึกษาได้ 220 คน/ครั้ง ให้บริการรับ-ส่ง ทุกวันจันทร์-ศุกร์ แบ่งเป็น 2 รอบ ได้แก่ รอบเช้า เวลา 07.20 น. และรอบเย็น เวลา16.40 น. ใช้เวลาเดินทางเฉลี่ย 5-7 นาที/ครั้ง เดินทางไป-กลับ ระหว่างจุดจอดบริเวณหน้าเดอะมอลล์โคราชและจุดจอดโรงเรียนอนุบาลนครราชสีมา โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรคอยอำนวยความสะดวกและดูแลความปลอดภัยตลอดเส้นทาง ทั้งนี้เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรในชั่วโมงเร่งด่วนบริเวณหน้าสถานศึกษาให้ยานพาหนะที่สัญจรผ่านบริเวณหน้าโรงเรียนสามารถขับขี่ได้อย่างสะดวก ช่วยประหยัดเวลาในการเดินทางไปส่งบุตรหลานและเป็นการช่วยลดการใช้พลังงาน ลดมลภาวะจากควันรถ อีกทั้งเพื่อเปิดทางให้รถพยาบาล รถกู้ภัย หรือรถของประชาชนในการลำเลียงผู้ป่วยสามารถใช้เส้นทางนี้ไปยังโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาได้อย่างสะดวกและรวดเร็วอีกด้วย”

ด้านนายปรีชา ลิ้มอั่ว ผู้จัดการทั่วไปปฏิบัติการ บริษัท เดอะมอลล์ราชสีมา จำกัด เผยว่า “รถรางเพื่อน้องเป็นโครงการที่ดี สามารถลดปัญหาการจราจรติดขัดได้จริง โดยเดอะมอลล์โคราชให้การสนับสนุนรถ shuttle bus จำนวน 2 คัน และพื้นที่ในการรับ-ส่ง พร้อมจัดเจ้าหน้าที่ดูแลตลอดเส้นทางอย่างเต็มที่ อีกทั้งผู้ปกครองสามารถวางใจได้เพราะทุกที่นั่งได้ทำประกันชีวิตกับไทยประกันชีวิตโดยมีระยะเวลาคุ้มครอง 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน 2561- 28 มิถุนายน 2562 คิดเป็นเงินคุ้มครองจำนวน 10 ล้านบาท และด้วยสถานที่อันเป็นศูนย์กลางของผู้ปกครอง มีความสะดวกสบายที่เดอะมอลล์โคราชจะสามารถมอบให้ได้ เป็นการสร้างความปลอดภัย ความตรงต่อเวลาและประหยัดเวลาในการรับส่งบุตรหลานของพี่น้องชาวโคราช ทางเดอะมอลล์โคราชก็ยินดีและพร้อมให้การสนับสนุนครับ”

พบแล้ว ‘ครูโตโต้’ มือโพสต์ด่าเด็กร้อยมาลัยไม่สวย ไหว้ขอโทษสังคมทำไปเพราะอยากให้ผลงานออกมาดี ด้านผู้ปกครองให้อภัย

พบแล้ว ‘ครูโตโต้’ มือโพสต์ด่าเด็กร้อยมาลัยไม่สวย ไหว้ขอโทษสังคมทำไปเพราะอยากให้ผลงานออกมาดี  ด้านผู้ปกครองให้อภัย มี ผอ.และผู้นำชุมชน ร่วมรับฟัง>>> มีคลิ๊ป<<<

            สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561 ‘เพจอยากดังเดี๋ยวจัดให้ return’ ได้แคปข้อความและรูปภาพจากโพสต์ของชายที่เป็นข้าราชการครูคนหนึ่ง ได้โพสต์รูปภาพเด็กนักเรียนยืนถือพวงมาลัยกร พร้อมระบุข้อความว่า “ร้อยได้เหี้ยมากนักเรียน วันนี้ร้อยไม่ผ่าน พวกมึงนั่งร้อยอยู่นี่แหละ จนกว่าจะถึง 2 ทุ่ม” เป็นการโพสต์ภาพนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5-6 จำนวน 3 คน และพิมพ์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย

หลังจากเรื่องดังกล่าวเผยแพร่ออกไปในโลกโซเชียล ทำให้ชาวเน็ตต่างวิพากษ์วิจารณ์การกระทำของบุคคลที่เป็นข้าราชการครูรายนี้เป็นอย่างมาก จนถึงขั้นมีการตามเข้าไปคอมเม้นต์ด่าถึงในเฟซบุ๊กส่วนตัว อีกทั้งเพจ อยากดังเดี๋ยวจัดให้ return เอ่ยไว้ว่าหากไม่มีการสอบวินัยผู้โพสต์จะตามไปแฉไปจนถึงเมืองโคราชจนกว่าจะนำตัวไปสอบให้ได้ อย่างไรก็ตาม โพสต์ต้นฉบับนั้นได้ถูกลบออกไปแล้ว ต่อมาทางครูคนดังกล่าวก็ได้โพสต์ข้อความความข้อโทษต่อสังคมถึงการกระทำที่ได้โพสต์ข้อความไม่เหมาะสมลงไป

ล่าสุด วันที่ 5 กันยายน 2561 ที่ โรงเรียนชาติวิทยา หมู่ที่ 9 บ้านหนองซาด ตำบลหนองขาม อำเภอจักราช จังหวัดนคราชสีมา เปิดสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลปีที่ 1 ถึงประถมศึกษาปีที่ 6 นายสมเกียรติ  พึ่งจันดา ผู้อำนวยการโรงเรียนชาติวิทยา พร้อมด้วย ผู้ใหญ่บ้าน ผู้นำชุมชน ผู้ปกครองเด็กนักเรียนทั้งสามคน และ นายมงคล โคตรชัง หรือ ครูโตโต้ ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย สอนวิชาภาษาอังกฤษ ครูผู้ที่โพสต์ข้อความไม่เหมาะสมร่วมชี้แจง โดยฝ่ายผู้ปกครองนักเรียนไม่ติดใจเอาความพร้อมให้อภัยครูถือว่าเป็นบทเรียน อาจทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากครูโตโต้เป็นคนทำงานดี สอนดี และจริงจังกับงาน และมีฝีมือในงานร้อยมาลัยงานฝีมือจึงได้ให้ช่วยดูเรื่องดังกล่าว ซึ่งเรื่องที่โพสต์ไปอาจเครียดกดดัน เพราะอยากให้งานร้อยมาลัยนักเรียนออกมาดี เนื่องจากสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เด็กนักเรียนทั้งสามคนต้องไปแข่งประกวดศิลปหัตถกรรมระดับจังหวัด จากนั้นทั้งสองฝ่ายได้จับมือกันและไหว้เป็นการขออภัยในสิ่งที่เกิดขึ้น

นายสมเกียรติ  พึ่งจันดา  ผู้อำนวยการโรงเรียนชาติวิทยา กล่าวว่า  เมื่อช่วงเช้าทางสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดนครราชสีมา ได้ลงพื้นที่มาสอบถามข้อเท็จจริงแล้ว ทางครูมงคลก็ยอมรับว่าโพสต์ไปด้วยอารมณ์ แต่ไม่มีเจตนาจะว่ากล่าวนักเรียนเลย จากนั้นทางศึกษาธิการจังหวัดจึงได้สรุปแนวทาง โดยให้ผู้อำนวยการลงโทษครูมงคลโดยว่ากล่าวตักเตือนเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อจะได้ไม่ให้ครูมงคลกระทำความผิดซ้ำอีก และครูมงคลเองก็สัญญาว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก และทางฝ่ายผู้ปกครองและนักเรียนเองก็ให้อภัยสิ่งที่เกิดขึ้น เนื่องจากครูมงคลเป็นคนตั้งใจทำงานและอาจจะพลั้งเผลอผิดไปในครั้งนี้ และทางฝ่ายผู้นำชุมชนและคณะกรรมการสถานศึกษาก็เห็นใจครูที่มีความมุ่งมั่นที่จะพานักเรียนแข่งขันในการประกวดศิลปหัตถกรรมร้อยมาลัยระดับจังหวัด แต่ก็ได้ตักเตือนให้ผู้อำนวยการดูแลบุคลากรด้านความประพฤติ เพราะครูต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เด็กและสังคม

ทางด้าน นายมงคล โคตชัง หรือ ครูโตโต้ ผู้โพสต์ข้อความไม่เหมาะสม ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย สอนวิชาภาษาอังกฤษ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ตนเองรู้สึกเสียใจมาก เพราะว่าแค่เวลา 3-4 นาทีที่โพสต์ข้อความไปในเฟสบุ๊ก ไม่คิดว่าจะทำให้ข่าวแพร่กระจายมากขนาดนี้ ตนเองรู้สึกเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้นมากในการใช้โซเชียลอย่างขาดสติ และรู้สึกเสียใจแทนผู้ปกครองและนักเรียนที่ได้รับผลกระทบในเรื่องนี้ รวมถึงวงการการศึกษาที่ตนเองทำให้วงการครูต้องเสียชื่อเสียง ก็อยากขอโทษสังคมอยากให้สังคมให้อภัย สิ่งที่ผมทำลงไปเป็นเพราะความประมาทเลินเล่อ และขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้กับตนเองและกับผู้ที่จะใช้โซเชียลให้คิดไตร่ตรองให้ดีก่อนโพสต์เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาแบบตนเอง

             

แม่ร้องสื่อ อ้างลูกชายโดนตำรวจรุมทำร้ายปางตาย!!!!

แม่ร้องสื่อ อ้างลูกชายโดนตำรวจรุมทำร้ายปางตาย  เบื้องต้นแพทย์บอกญาติทำใจ คนเจ็บอาจเป็นอัมพาตตลอดชีวิต>>>มีคลิป<<<

                วันที่ 2 กันยายน 2561 จากกรณี นางฉวีวรรณ ประตูชัย ชาวบ้านส่วย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา เข้าร้องต่อสื่อ กรณี เรื่อง ลูกชายชื่อ นายสยาม โดนเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.พิมาย จ.นครราชสีมา จำนวน 2 นาย รุมทำร้ายโดยไม่ทราบสาเหตุ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2561ที่ผ่านมา ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าสาเหตุมาจากเรื่องอะไร นางฉวีวรรณยังเผยอีกว่าขณะที่ทางด้านแพทย์ผู้รักษา นายสยาม บุตรชาย ได้บอกกับทางตนว่าให้ทำใจ เพราะบุตรชายที่โดนทำร้ายนั้นอาการรุนแรงโดยเฉพาะที่บริเวณต้นคอ โดยจากผลเอ็กซเรย์กระดูกต้นคอแตกและทับเส้นประสาททำให้ ซีกบนของร่างกายอาจจะขยับไม่ได้ตลอดชีวิต

ขณะนี้ทางผู้บาดเจ็บได้นอนรอผลเพื่อรับการผ่าตัดภายในห้องไอซียู โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา และภายใน 2-3 วันนี้ ตนจะได้เดินทางเข้าร้องเรียนที่ สถานีตำรวจภูธรอำเภอพิมาย ต้นสังกัดของตำรวจที่ได้รุมทำร้ายลูกชาย เพื่อให้ลูกชายได้รับความเป็นธรรม

นางฉวีวรรณ ประตูชัย กล่าวว่า ทางตนเองอยากจะขอความเป็นธรรมให้ลูกชายผ่านทางสื่อท้องถิ่น  เนื่องจากว่าลูกชายโดนเจ้าหน้าที่ตำรวจ(คาดว่าเป็นตำรวจสายตรวจ) จำนวน 2 นาย ขี่รถจักรยานยนต์ประกบรถจักรยานยนต์ของลูกชายล้มและจากนั้นได้ตรงมาทำร้ายร่างกาย ซึ่งจากการสอบถามลูกชายผู้บาดเจ็บได้ความว่า ‘ได้ร้องขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหยุดทำร้ายด้วย โดยผู้บาดเจ็บยังได้กล่าวถ้อยคำว่า ‘ผมเจ็บแล้ว เจ็บกระดูกแล้ว’ แต่ทางตำรวจก็ไม่หยุดทำร้าย (ทำร้ายโดยการกระทืบ) สาเหตุคาดว่าน่าจะขอตรวจค้นบางอย่าง แต่ลูกชายก็ไม่กล้าจอดกลัวเป็นพวกมิจฉาชีพเพราะเส้นทางนั้นมันมืดและเปลี่ยวมากประกอบกับมืดแล้ว หลังจากที่โดนทำร้ายนั้นก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย คาดว่าทางตำรวจที่ทำร้ายคงได้เรียกรถพยาบาลพิมายมารับตัวไปรักษา แต่ผู้บาดเจ็บมารู้สึกตัวก็อยู่โรงพยาบาลแล้ว แต่ทางโรงพยาบาลอำเภอพิมายตรวจเบื้องต้นพบว่า ผู้บาดเจ็บอาการหนักมาก จึงประสานไปทางโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาเพื่อรักษาต่อไป

นางฉวีวรรณ ประตูชัย กล่าวอีกว่า ทางด้านแพทย์โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมาผู้รักษา นายสยาม บุตรชายที่โดนทำร้าย ได้บอกกับทางตนว่าให้ทำใจ แต่สภาพแรกที่เห็นลูกชายโดนทำร้ายอยู่ในห้องไอซียู ต้องใส่ที่ดามคอเยอะไปหมดถึงกับรับสภาพลูกชายไม่ได้ เพราะบุตรชายที่โดนทำร้ายนั้นอาการรุนแรงมาก โดยเฉพาะที่บริเวณต้นคอโดยจากผลเอ็กซเรย์พบว่า กระดูกต้นคอแตกและทับเส้นประสาททำให้ ซีกบนของร่างกายอาจจะขยับไม่ได้ตลอดชีวิต แต่ทั้งนี้ก็รอการผ่าตัดเผื่ออาจจะมีปาฏิหาริย์กับลูกชายให้กลับมาเดินได้อีกครั้ง เพราะลูกชายตนเองทำมาหากินเป็นเสาหลักคนหนึ่งให้กับครอบครัว ปัจจุบันตนเองก็มีโรคประจำตัวทั้งโรคประสาทและโรคหัวใจตอนนี้เครียดมากกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่วนเรื่องคดีก็คงจะต้องเดินทางไปที่ สภ.พิมายภายใน 2-3 วันนี้ เพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรพิมายให้ดำเนินคดีกับ 2 ตำรวจที่ทำร้ายลูกชายตนเองให้ได้รับความเป็นธรรมถึงที่สุด เพราะตำรวจ 2 นายนี้ทำเกินกว่าเหตุจริงๆทำให้ลูกชายได้รับบาดเจ็บสาหัสและอาจพิการตลอดชีวิต ส่วนความคืบหน้าอย่างไรทางทีมข่าวจะรายงานให้ทราบในคราวต่อไป

Cr.โคราชอินไซด์

ชาวบ้านถ่ายคลิปกลุ่มคนร้ายแอบขโมยมะพร้าวในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว คาดก่อเหตุประจำไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ชาวบ้านถ่ายคลิปกลุ่มคนร้ายแอบขโมยมะพร้าวในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว คาดก่อเหตุประจำไม่เกรงกลัวกฎหมาย

ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า สามารถถ่ายคลิปภาพ กลุ่มคนใช้รถจักรยาน และรถจักรยานยนต์ คาดว่า รวมตัวกันเป็นแอบขโมยของออกจาก สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (บุ่งตาหลั่ว) สวนสาธารณะที่สำคัญใน จ.นครราชสีมา ซึ่งอยู่ในความดูแลของกองทัพภาคที่ 2 คาดว่าน่าจะเป็นการขโมยมะพร้าว หรืออาจจะเป็นปลา เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ และมีต้นมะพร้าวจำนวนมากรอบริมฝั่ง คาดก่อเหตุเป็นประจำทำลักษณะเหมือนไม่กลัวโดนจับ

คลิปแรกเป็นกลุ่มคน 4-5 คน พร้อมระจักรยาน 2-3 คัน ช่วยกันนำถุงออกจากรั่วกั้นสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว ลักษณะเป็นถุงสีขาวคล้ายมีของหนักอยู่ข้างในคาดว่าจะเป็นมะพร้าว หรืออาจจะเป็นปลาที่แอบเข้าไปหาในอ่างที่อยู่ด้านใน โดยบางส่วนแบกขึ้นบ่าเดินหนี ขณะที่บางคนนำขึ้นท้ายรถจักรยาน ก่อนที่จะนำออกมาและปั่นจักรยานหนีหายเข้าไปใสซอยซึ่งอยู่ตรงข้าโดยในระหว่างขนย้ายถุงดังกล่าว ได้ยินเสียคุยกันเหมือนไม่ใช่คนไทยเกิดเหตุเมื่อกลางดึกคืนวันเสาร์ที่ 18ส.ค. ผ่านมา ขณะที่อีกกลุ่มถ่ายได้ในคืนวันอาทิตย์ที่ 19 ส.ค.  ซึ่งถ่ายจุดเดียวกันที่อาคารสูงบริเวณใกล้เคียงจุดเกิดเหตุ เป็นชายคาดเป็นวัยรุ่น 4-5 คน ใช้รถจักรยายนต์ 2 คัน บรรทุกถุงที่นำออกมาจากสวนน้ำดังกล่าว คาดว่าเป็นมะพร้าว โดยคลิปหลังนี้ สามารถบันทึกภาพให้เฉพาะในช่วงที่นำถุงขึ้นท้ายรถขี่ออกไป คาดว่า เป็นคนละกลุ่มกันเนื่องจากใช้ญาณพาหนะไม่เหมือนกัน แต่เชื่อว่า ทั้งสองกลุ่ม น่าจะแอบเข้าไปขโมยของซึ่งคาดว่าเป็นมะพร้าวที่อยู่ภายในสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว ไม่แน่ใจว่า นำออกไปกิน หรืออาจจะนำไปขายเนื่องจากแอบขโมยไปเป็นจำนวนมาก

สำหรับ สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ ร.9 หรือสวนน้ำบุ่งตาหลั่ว เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ อยู่ในความดูแลรับผิดชอบของ กองทัพภาคที่ 2 ข้างในสวนมีคาดวามีปลาซึ่งอยู่ในอ่างน้ำเป็นจำนวนมาก และมีต้นมะพร้าวรอบอ่าง คาดว่าน่าจะมีคนแอบขโมยบ่อยครั้ง โดยบริเวณจุดเกิดเหตุเป็นเขตรอยต่อกับถนนซึ่งติดรอยต่อระหว่างค่ายทหารขับเขตเมือง ซึ่งทางกองทัพได้ทำรั่วกั้นแล้วแต่ก็ปรากฏว่ายังมีคนแอบมาขโมยโดยไม่เกรงกลัวกฎหมายดังกล่าว จึงอยากวอนเจ้าหน้าที่ช่วยตรวจสอบด้วยว่าเป็นการขโมยของจากสวนสาธารณะหรือไม่และช่วยป้องกันไมให้เกิดขึ้นอีก

ชาววังน้ำเขียวโคราช ‘ปลูกต้นแมคาเดเมีย’ สร้างรายได้ปีละ 200,000 บาท

ชาววังน้ำเขียวโคราช ‘ปลูกต้นแมคาเดเมีย’ ได้ดีไม่ต้องไปไกลถึงเชียงราย ให้ราคาสูงกิโลกรัมละ 1 พันบาท สามารถนำไปแปรรูปได้หลากหลาย อาทิ อบเกลือ เคลือบน้ำผึ้ง และรสวาซาบิ หรือทานสดก็ได้ สร้างรายได้ปีละ 2แสนบาท

 

            นายวิรัตน์ เขียนดวงจันทร์ ผู้จัดการบ้านไร่ปลายตะวันและศูนย์เพาะพันธุ์พืช กล่าวว่า ที่บ้านไร่ปลายตะวันเป็นสถานที่ปลูกพืชหลายประเภททั้งผัก ผลไม้ และดอกไม้ รวมถึงต้นไม้ต่างๆ โดยเมื่อ 3ปีก่อนได้นำพันธุ์ของแมคาเดเมียมาทดลองปลูก เพราะเห็นว่าที่อำเภอวังน้ำเขียวมีอากาศเย็นตลอดปี จึงได้นำมาทดลองปลูกจำนวน 50 ต้น ปรากฏผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ ให้ผลผลิตที่ดีและยังมีรสชาติอร่อย ซึ่งที่ไร่ของเราได้น้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่มาปรับใช้ในการเพาะปลูกและดำเนินการต่างๆ  โดยเพื่ออยากให้คนโคราชได้มีแมคาเดเมียทานกันโดยไม่ต้องเดินทางไกลไปซื้อถึงจังหวัดเชียงรายภาคเหนือและมีราคาที่ถูกกว่า ทุกคนจะได้รู้ว่าที่อำเภอวังน้ำเขียวมีแมคาเดเมียและสามารถปลูกให้ผลผลิตได้

นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า ช่วงระยะแรกในการปลูกใช้เวลาประมาณ 4-5 ปี คือค่อนข้างใช้เวลาแต่คุ้มค่า เนื่องจากแมคาเดเมียมีราคาสูงในท้องตลาดเป็นที่นิยมบริโภคเพราะมีสรรพคุณและคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก ประโยชน์ของแมคคาเดเมียคือ 1.ช่วยลดภาวะของโรคหัวใจทำให้หัวใจแข็งแรงขึ้น 2.อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ 3. ช่วยลดน้ำหนัก 4.ช่วยในเรื่องของการขับถ่าย 5. ช่วยบำรุงสมอง โดยต้นแมคาเดเมียอายุ 4 -5 ปีจะให้ผลผลิตประมาณ 3 – 4 กิโลกรัม อายุ  แต่ถ้าเป็นอายุ 6 – 8ปีขึ้นไปแล้ว จะให้ผลผลิตสูงถึงต้นละ 15-20 กิโลกรัมเลยทีเดียว โดยราคาขายในตลาดอยู่ที่ขีดละประมาณ 100 บาท หรือ กิโลกรัมละ 1 พันบาท แต่ถ้าขายในเขตโคราช เราก็จะกำหนดราคาถูกกว่านี้ เพื่อให้อยู่ในระดับเหมาะสมก็คงประมาณ 60-70 บาท ซึ่งปัจจุบันทางบ้านไร่ปลายตะวันก็ทำมา 5 ปีแล้ว จำนวน 50 ต้น สร้างรายได้กว่า 2 แสนบาทต่อปี ผลของแมคาเดเมียสามารถนำไปแปรรูปได้หลายอย่าง อาทิ ไอศกรีม อบเกลือ อบน้ำผึ้ง และรสวาซาบิ และกินสดได้ นอกจากนั้น เรายังส่งเสริมให้เกษตรกรที่อยากจะปลูกยินดีให้ความรู้ในการปลูก ซึ่ง ณ เวลานี้ทางเรากำลังขยายพื้นที่เพิ่มเพื่อเอาพันธุ์ของต้นแมคาเดเมียจำนวนอีก 300 ต้นมาลงปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและสร้างรายได้ต่อไปในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เกษตรกรท่านใดสนใจ สามารถมาดูได้ที่แปลงปลูกและยินดีถ่ายทอดความรู้ในการปลูก โดยให้มาที่  ศูนย์ปฏิบัติธรรมบ้านไร่ปลายตะวันและศูนย์เพาะพันธุ์พืช อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา เบอร์โทรศัพท์ 085- 1847261 นอกจากนี้ทางบ้านไร่ปลายตะวันยังมีแปลงปลูกเมลอนแบบปลูกในน้ำและผักปลอดและพืชต่างๆอีกหลากหลายโดยใช้ระบบไฮโดรโปนิกปลอดสารพิษ 100 เปอร์เซ็นต์อีกด้วย

สะพานไม้ร้อยปี อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยว ของโคราช

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย หยุดกระโทก กำนันตำบลโคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา พร้อมเจ้าหน้าที่องค์การบริหารส่วนตำบลโคกกระชาย และชาวบ้าน ช่วยกันทำการพัฒนาและต่อเติมจุดชมวิวและสถานที่ให้บริการนักท่องเที่ยว บริเวณสะพานไม้ร้อยปี ตั้งอยู่ที่บ้านโคกกระชาย ต.โคกกระชาย อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา  ซึ่งถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของอำเภอครบุรี และจังหวัดนครราชสีมา ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้

โดยชาวบ้านได้ช่วยกันสร้างจุดชมวิวและถ่ายรูปบริเวณมุมต่างๆของสะพาน เพื่อให้นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมได้มีมุมถ่ายรูปกับสะพานไม้ร้อยปีหลากหลากและสวยงามมากขึ้น พร้อมกับได้จัดจุดชมพระอาทิตย์ตก ที่ถือเป็นไฮไลท์สำคัญของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ด้วย

นายสมชัย หยุดกระโทก กำนันตำบลโคกกระชาย กล่าวว่า ในช่วงนี้บรรยากาศที่สะพานไม้ร้อยปีของจังหวัดนครราชสีมา กำลังสวยงามเนื่องจากทุ่งนาข้าวของชาวบ้านที่สะพานไม้ร้อยปีระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร พาดผ่านกำลังเขียวขจีไปด้วยต้นข้าวที่เติบโตสวยงาม รวมถึงความอุดมสมบูรณ์ของน้ำภายในลำคลอง อากาศก็เย็นสบายเหมาะสมที่จะให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมกันตลอดทั้งวัน ชาวบ้านและเจ้าหน้าที่จึงช่วยกันปรับปรุงภูมิทัศน์และพัฒนาต่อเติมจุดต่างๆไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยว ซึ่งต่อไปก็จะมีการสร้างจุดบริการต่างๆเพิ่มมากขึ้น ทั้งในส่วนของห้องน้ำ และจุดบริการอาหารเครื่องดื่มเป็นต้น

พิธีบูรพาจารย์รำลึกในโอกาสครบรอบ 24 ปี วันมรณภาพ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก เกจิอาจารย์ชื่อดังของไทย

พิธีบูรพาจารย์รำลึกในโอกาสครบรอบ 24 ปี วันมรณภาพ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก เกจิอาจารย์ชื่อดังของไทย

ที่วัดครบุรี หรือวัดหลวงปู่นิล ต.ครบุรีใต้ อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา นายวิจิตร กิจวิรัตน์ นายอำเภอครบุรี เป็นประธานฝ่ายฆารวาส นำศิษยานุศิษย์ของพระครูนครธรรมโฆสิต หรือหลวงปู่นิล อิสฺสริโก ร่วมประกอบพิธีบูรพาจารย์รำลึก ในโอกาสครบรอบ 24 ปี วันมรณภาพ เพื่อร่วมรำลึกถึงคุณงามความดีของหลวงปู่นิล อิสฺสริโก เกจิอาจารย์ชื่อดังของไทย อดีตเจ้าอาวาสวัดครบุรี เทพเจ้าแห่งความเมตตาอีสานใต้ ที่ได้ช่วยเหลือในการบำรุงพระพุทธศาสนา รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วยการนำหลักธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเผยแผ่เพื่อชี้นำไปสู่การประกอบคุณงามความดี พร้อมทั้งยังใช้ความรู้เกี่ยวกับการปรุงยาสมุนไพรโบราณเพื่อนำมาช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บไข้ได้ป่วยจนเป็นที่รู้จักกันดีทั่วทั้งประเทศ ซึ่งมีบรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่นิล มาร่วมในงานวันนี้หลายพันคน

โดยในพิธีได้มีการทำบุญตักบาตร พร้อมนิมนต์พระสงฆ์และเกจิอาจารย์ชื่อดังจาก 27 วัด รวม 130 รูป ของจังหวัดนครราชสีมา มาประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนตร์/มาติกา บังศุกุล เพื่อถวายแด่พระครูนครธรรมโฆสิต หรือหลวงปู่นิล อิสฺสริโก  พร้อมทั้งมีการเปิดให้ศิษยานุศิษย์ได้ร่วมทำบุญปิดทองหุ่นขี้ผึ้งเสมือนหลวงปู่นิล  และร่วมกิจกรรมบุญต่างๆที่ทางวัดจัดเตรียมไว้อย่างหลากหลาย รวมถึงยังมีผู้มีจิตศรัทธานำโรงทานมาร่วมในงานบูรพาจารย์รำลึก ในโอกาสครบรอบ 24 ปี วันมรณภาพ ของหลวงปู่นิล อิสฺสริโก ในวันนี้กว่า 100 โรงทาน พร้อมมีการแสดงมหรสพสมโภชตลอดทั้งวัน

สำหรับพระครูนครธรรมโฆสิต หรือ หลวงปู่นิล อิสฺสริโก  นามเดิมคือ นิล แหวนครบุรี เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2445 อุปสมบทเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2465 ณ พัทธสีมาวัดนกออก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา พระอุปัชฌาย์ของท่านคือ หลวงปู่กลิ่น วัดนกออก พระอธิการพรหม กิตติคุณ  เชื่อกันว่าท่านสำเร็จอภิญญา มีพลังจิตเข้มแข็ง อธิษฐานปลุกเสกจนวัตถุมงคลของท่านเป็นที่เลื่องลือ ที่โดดเด่นทางเมตตามหานิยม และ คุ้มครองป้องกัน นอกจากท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่มากด้วยวิชาอาคมแล้ว เรื่องวิชาแพทย์แผนโบราณ ยาสมุนไพร ถือเป็นที่ยอมรับอย่างมากช่วยเหลือชาวบ้านที่เจ็บป่วยมานับไม่ถ้วน ส่วนสุดยอดวัตถุมงคลที่ลูกศิษย์ลูกหาหวงแหนมากที่สุด คือ พระตะกั่วเถื่อน รูปถ่ายขาวดำ เหรียญรูปไข่ มหาอุตม์ไม้รวก สีผึ้งเจ็ดอังคาร ตะกรุดมหาอำนาจหนังเสือ ทั้งนี้หลวงปู่นิลมรณภาพ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2537 รวมสิริอายุได้ 92 ปี 6 เดือน 72 พรรษา โดยในปีนี้เป็นปีครบรอบ 24 ปีของการมรณภาพ