ตำรวจภาค 3 จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ และฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

ตำรวจภาค 3 จับกุมเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ และฟอกเงิน มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

.ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร, พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศปอส.ตร. แก้ไขปัญหาให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นั้น

.ตำรวจภูธรภาค 3 โดย พล.ต.ทสมประสงค์ เย็นท้วม ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ภาณุ บุรณศิริ รอง ผบช.ภ.3/ผอ.ศปอส.ภ.3 ได้สั่งการให้ ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปราม อาชญากรรม ตำรวจภูธรภาค 3 สืบสวนจับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 3 และ พื้นที่คาบเกี่ยว

.โดยเมื่อวันที่ 17 ธ.ค.65 ชุดปฏิบัติการสืบสวนปราบปรามอาชญากรรม ตำรวจภูธรภาค 3 ร่วมกับ กองบังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 3, ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา, ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี, ตำรวจภูธรจังหวัดสุรินทร์ และตำรวจภูธรจังหวัดศรีสะเกษ

 ร่วมปฏิบัติการเข้าปิดล้อมตรวจค้นเครือข่ายเว็บไซต์การพนันออนไลน์ 12PLUS ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 5 โดยได้ทําการปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมาย จำนวน 30 จุด สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับในความผิดฐาน “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ไพ่บาคาร่า) พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต และร่วมกันฟอกเงิน จำนวน 5 ราย อยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุม อีก 1 ราย พร้อมกันนี้ได้ทำการตรวจยึดของกลาง ดังต่อไปนี้

.ยานพาหนะ รถยนต์ จํานวน 1 คัน รถจักรยานยนต์ จํานวน 4 คัน อาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน ประกอบด้วย อาวุธปืนยาว จำนวน 5 กระบอก อาวุธปืนพกสั้น กระบอก, เครื่องกระสุนปืน จํานวน 219 นัด

.คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการหลบหนี และจะทําการสืบสวนขยายผลติดตามจับกุมเครือข่ายการพนันออนไลน์กลุ่มนี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป จึงขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังประชาชนทั่วไป หากมีข้อมูลเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์ สามารถแจ้งข้อมูล มายังตำรวจภูธรภาค 3 ทางหมายเลขโทรศัพท์ 0 4425 5275 83 ต่อ 188

เสริมเขี้ยวเล็บตำรวจภูธรภาค 3

ตำรวจภาค3จัดเสริมเขียวเล็บให้ทัพตำรวจด้านการสืบสวนโดยใช้เทคโนโลยี


วันที่ 23-29 สิงหาคม 2563 เวลา 10.00 น.ณ โรงแรมแคนทารี โดราช อ.เมืองจังหวัด.นครราชสีมาพิธีเปิดการอบรมโครงการฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรด้านการสืบสวนโดยใช้เทคโนโลยีของข้าราชการตำรวจสำนักงานตำรวจแห่งชาติโดยพล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.3 พล.ต.ต.อัคราเดช พิมลศรี รอง ผบช.ภ.3และผู้เข้ารับการฝึกอบรมทุกนาย

ตำรวจภูธรภาค 3 ได้รับอนุติงบประมาณ โครงการพัฒนาบุคลากรด้านการสืบสวน โดยใช้เทคโนโลยีของข้าราชการตำรวจ จากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อจัดฝึกอบรมให้กับข้าราชการตำรวจ ที่ปฏิบัติหน้าที่ในสายงานสืบสวน โดยมอบหมายให้ ตำรวจภูธรภาค3 ดำเนินการฝึกอบรมตามโครงการฯ ดังกล่าว ในห้วงระหว่างวันที่ 23 – 29 สิงหาคม 2563 ณ โรงแรมแคนทารี โคราช อ.เมืองจังหวัดนครราชสมา รวมผู้เข้ารับการอบรม 150. นาย

ประกอบด้วย ข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรสืบสวน ของตำรวจภูธรจังหวัด กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 1 ถึง ภาค 9 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนนครบาล 1-5กองบังคับการในสังกัด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบังตับการตำรวจท่องเที่ยว 1- กองบังคับการสืบสวน สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กองบังคับการตำรวจสันติบาล 1-4 กองบังคับการปราบปรามยาเสพติด 1-4 และ ข้าราชการตำรวจระดับสารวัตรผู้รับผิดชอบงานด้านยาเสพติด กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1-4ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเพิ่มพูนความรู้เทคนิค และประสิทธิภาพในการปฏิบัติงามสืบสรม ให้มีความรู้ความสามารถในการนำเทคโนโลยี อุปกรณ์ที่ทันสมัย มาใช้ในการสืบสวนติดตามจับกุมตัวผู้กระทำความผิด ซึ่งการพัฒนางานสืบสวน จะต้องพัฒนาบุคลากรให้มีองค์ความรู้และมีความรอบรู้ ที่ทันสมัยอยู่เสมอ อีกทั้ง ยังจำเป็นต้องพัฒนาให้เกิดทักษะ เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ทันที รวมไปถึงเพื่อฝึกบทวน แลกเปลี่ยนความรู้ เทคนิคการสืบสวน และการทำงานเป็นทีม ทำให้สามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว

ด้านพล.ต.ท.พูลทรัพย์ ประเสริฐศักดิ์ ผบช.ภ.3กล่าวจากการรายงาน ท่านทั้งหลายคงทราบแล้วว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนดำเนินการ ยกระดับขีดความสมารถในการปฏิบัติภารกิจหลัก เพื่อตอบสนองนโยบายรัฐบาลเพื่อลดความหวาดกลัวภัยอาชญากรรมของประชาชน โดยมีระบบกระบวนงาน ที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังต้องการพัฒนาบุคคลกรขององค์กร ให้มีความรู้ความสามารถและทักษะในการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่ มาใช้สนับสนุนการสืบสวนและสามารถติดตามตัว จับกุมผู้กระทำความผิดมาลงโทษ ตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว/กั้งนี้ ก็เพื่อความสงบสุขของ ประชาชนชุมชน สังคม ประเทศชาติ

ทลายรังยาบ้าล๊อดใหญ่ตำรวจจังหวัดนครราชสีมาแถลงข่าว

ล่อซื้อยาบ้า200เม็ด ให้ลูกน้องมาส่งแทนไม่รอดถูกขยายผลจัดล๊อตใหญ่กว่า36,550 เม็ดพร้อมยาไอซ์ สืบพบพึ่งพ้นไม่นานมาก่อเหตุ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ ห้องสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พลตำรวจตรีวัชรินทร์ บุญคง ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา ,พันตำรวจเอกสันติ เหล่าประทาย รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยชุดจับกุม แถลงข่าวผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด พร้อมผู้ต้องหา 3 คนประกอบด้วย นายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 540 หมู่ที่ 2 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ,นายชาญชัย หรือเบล เขตขุนทด อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 47 ซอย 4 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ,นายสมศักดิ์ หรือตั้ม เข็มคง อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1 หมู่ 14 ตำบลหนงพระ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา พร้อมของกลางยาบ้าจำนวน 36,550 เม็ด ยาไอซ์ 60.5 กรัม โทรศัพท์จำนวน 5 เครื่อง รถจักรยานยนต์จำนวน 2 คัน

สืบเนื่องมาจาก เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้รับแจ้งจากสายลับว่า นายพรเทพ กับพวกภูมิลำเนาอยู่อำเภอปากช่อง หลังจากพ้นโทษได้ติดต่อกับพักพวกที่พ้นโทษมาด้วยกัน เมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ที่ผ่านมา ได้นำยาบ้าและยาไอซ์ มาจำหน่ายให้กับวัยรุ่นในพื้นที่อำเภอปากช่องและอำเภอช้างเคียง จึงได้ทำการล่อซื้อยาบ้าจากนายพรเทพ หรือหนุ่ม จำนวน 1 ถุง 200 เม็ด ในราคา 7,000 บาท โดยนายพรเทพซึ่งระวังตัวอยู่แล้วจึงได้ส่งให้นายชาญชัย หรือเบล มาส่งมอบ หลังจากนั้นได้ถูกจับกุมบริเวณหน้าบ้านพักในหมู่บ้านโครงการจัดสรรหมู่บ้านโคกสง่า ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา จากการค้นตรวจพบยาบ้าทั้งหมด 1,950 เม็ด ต่อมาจึงขยายผลจับกุมตัวนายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ ที่บ้านพัก พร้อมของกลาง ยาบ้า 600 เม็ด ยาไอซ์ 60.5 กรัม หลังจากนั้นได้ขยายผลต่อเนื่องและมาจับกุม นายสมศักดิ์ หรือตั้ม เข็มคง ซึ่งเป็นลูกน้องนายพรเทพที่รับพักยาบ้าไว้โดยตรวจยึดของกลาง ที่บ้านพัก เป็นยาบ้า 34,000 เม็ด

จากการสอบถามนายพรเทพ หรือหนุ่ม ศรอินทร์ ผู้ต้องหา รับสารภาพว่า ตนเพิ่งพ้นโทษออกมาจากคดียาบ้าเมื่อเดือนกุมภาพันธุ์ ที่ผ่านมาและได้พ้นโทษออกมาพร้อมกับนายโอ๊ดและนายโอ (ไม่ทราบชื่อจริง) ซึ่งพึ่งพ้นโทษออกมา เป็นคู่ค้ายาบ้าที่อยู่ระหว่างขยายผลติดตามจับกุม โดยรับซื้อมาราค่ามัดละ 50,000 บาท และมาจำหน่ายต่อในราคา 70,000-100,000 ยาไอซ์ กรัมละ 500 บาท มาจำหน่ายต่อ ราคาละ 700 บาท ส่วนเงินที่ได้จะนำไปใช้จ่ายในครอบครัวและเที่ยวเตร่ เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนออกติดตามผู้ต้องหาที่เหลือ พร้อมทั้งแจ้งข้อกล่าวหา ร่วมกันพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 เมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) โดยผิดกฎหมาย ก่อนส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี พร้อมเตรียมขยายผลติดตามจับกุม นายโอ๊ค กับนายโอ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ภาพ-ข่าวประสิทธ์ วนะชกิจ