สภาวัฒนธรรม ปันน้ำใจ ไม่ทิ้งกัน สู้โควิด 19

วันที่ 8 พค. 2563  เวลา 7.00 น.  นางเอมอร ศรีกงพาน  ประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา นางสมใจ อินทรทรัพย์  รองประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา  พ.อ.นเรศ พิลาวรรณ คณะกรรมการสภาวธ  ได้ร่วมกับ อสม.ชุมชนมหาชัยอุดมพร  เพื่อทำการแจกข้าวสาร น้ำดื่ม เครื่องอุปโภค บริโภค  หน้ากากอนามัย ข้าวกล่อง ให้แก่พี่น้องที่เดือดร้อนจากการหยุดงานในช่วงสถานการณ์โรคระบาดโควิด 19

เพื่อเป็นการ แบ่งปันน้ำใจ ต้านภัยโควิด  คนไทยเราไม่ทอดทิ้งกัน   ซึ่งในการลงพื้นที่ในครั้งนี้มีพี่น้องมาร่วมรับถุงยังชีพ  จำนวน 150 คน  ณ ชุมชนมหาชัยอุดมพร


ทั้งนี้  สภาวัฒนธรรมจังหวัดนครราชสีมา  ยังได้รับความช่วยเหลือจากฝ่ายเทศกิจ เทศบาลนครนครราชสีมา และเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ที่มาจัดระเบียบ และอำนวยความสะดวกในการเข้ารับสิ่งของ  วัดไข้ และอื่นๆ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของจังหวัดนครราชสีมา

นายกเทศบาล ต.โคกสูง โคราช พร้อมคณะ มอบยารักษาโรคปอด (โบราณ) เพื่อให้สาธารณสุขนำไปศึกษาใช้กับ โรคโควิด19

นายกเทศบาล ต.โคกสูง โคราช พร้อมคณะ มอบยารักษาโรคปอด (โบราณ) เพื่อให้สาธารณสุขนำไปศึกษาใช้กับ โรคโควิด19

ที่ห้องประชุมเฉลิมพระเกียรติเทศบาลตำบลโคกสูง จังหวัดนครราชสีมา นำโดยนายกแหลมทอง วัฒนา นายกเทศบาลตำบลโคกสูง จังหวัดนครราชสีมาพร้อมด้วย นายประเดิม ส่างเสน เลขานุการหมอชนเผ่า 7 จังหวัดภาคเหนือร่วมด้วยนายไฟรัตน์ สำเภาทอง ที่ปรึกษาอนุกรรมาธิการมูลนิธิ ร.9นายสกล ไชยฉิมพลี MR.LOR HARLEY เซียนมวย แจกยา รักษาปอด โรคป่วงลงปอดให้ ชาวบ้านตำบลโคกสูง ประมาณกว่า50คนที่มาร่วมประชุมและได้แนะนำตัวชาวคณะของหมอให้ชาวบ้านรู้จักจากนั้นก้อได้อธิบายตัวยาสมุนไพรแต่ละตัวมีสรรพคุณอะไรบ้าง

กลุ่มหมอยาพื้นบ้าน 8 จังหวัดภาคเหนือ เตรียมนำเสนอยาสมุนไพรไทย “จันทรลีลา” ให้ทางสาธารณสุขเอาไปทดลองกับผู้ป่วยเป็นโควิด-19 เพราะเชื้อว่า สามารถต้านและทำลายเซลล์ไวรัสโควิด-19 ได้ เผยยาสมุนไพรนี้ตกทอดมากว่า 11 ชั่วอายุคน ในสมัยโบราณใช้รักษาโรคห่า โรคปวงปอด อย่างได้ผล และเชื่อว่าโรคซ่า โรคเมอร์ส และโรคโควิด-19 ก็น่าจะเอาสมุนไพรตัวนี้รักษาได้ เพราะมีเซียนมวยเคยทดลองใช้มาแล้วได้ผลดีควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบัน แต่ก็ไม่สามารถเอยได้ เพราะเกรงว่าแพทย์สมัยใหม่จะไม่ยอมรับ

ประเดิม ส่างเสน หมอพื้นบ้านไทยใหญ่ ศูนย์การเรียนรู้การแพทย์พื้นบ้านและการแพทย์ชนเผ่าสมุนไพรนวลจันทร์เชียงใหม่ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ตัวยาตัวนี้ผลิตจากสมุนไพรทั้งหมด ประกอบด้วย โกศสอ โกศเขมา โกศจุฬาลัมพา แก่นจันทร์ขาว แก่นจันทร์แดง ลูกกระดอม บอระเพ็ด รากปลาไหลเผือก และพิมเสน จะช่วยในเรื่องการแก้ไข ปวดเมื่อยตามร่างกาย และเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แก้ร่างกาย ยาตัวนี้มีมานานแล้ว แต่ยังไม่มีใครออกมาพูดบอกกล่าวให้ประชาชนเข้าใจ กินไปแล้วจะช่วยให้หายใจโล่งขึ้น ไข้ลดลง ขับพิษออกจากทวาร เราไม่ได้ออกมาบอกว่า เป็นยารักษาโควิด-19 แต่อยากให้รัฐบาลเอายาตัวนี้ออกมาวิจัยจริงๆ เพราะเราเชื่อว่า “จันทรลีลา” สามารถช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยเราได้

“จึงอยากฝากถึงกระทรวงสาธารณสุข และรัฐบาล ผมเป็นหมอแพทย์แผนไทยตัวเล็กๆ แต่อยากจะช่วยพี่น้องชาวไทย จึงอยากฝากให้ท่านช่วยเอา “จันทรลีลา” ออกไปวิจัยแบบจริงจัง จะได้ไข้ของสงสัยกันไปเลย”

“จันทรลีลา” เป็นยาสมุนไพรทั้งหมด บดเป็นผงละเอียดบรรจุแคปซูล จะมีสรรพคุณ ช่วยลดไข้ ลดความร้อน ช่วยลดอาการข้างเคียง เช่น ช่วยลดน้ำมูก ลดเสมหะ บรรเทาอาการไอจาม หืดหอบ แก้ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ช่วยให้เจริญอาหารและจิตใจชุ่มชื่นแจ่มใส

ต่อมาได้นำชาวคณะ หมอประเดิม ส่างเสนแลขานุการหมอชนเผ่า 7 จังหวัดภาคเหนือพร้อมด้วยนายสกล ไชยฉิมพลี MR.LOR HARLEY เซียนมวยได้เดินทางไปพบนายวิเชียร จันทรโณทัยผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ห้องประชุมนางสางบุญเหลือ เพื่อนำยา รักษาปอด โรคป่วงลงปอด ไปมอบให้ แก่หัวหน้าส่วนราชการในสำนักงานนอกจากนั้นนายวิเชียร จันทรโณทัยผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมายังได้มอบพระพุทธรูปหลวงพ่อทวดเป็นที่ระลึกชาวคณะ หมอประเดิม ส่างเสน เลขานุการหมอชนเผ่า 7 จังหวัดภาคเหนืออีกด้วย

ผอ.ศูนย์ฝึกเขต 3 โคราช จัดโครงการขานรับนโยบายรัฐ ฝึกอบรมวิชาชีพสู้โควิด19

ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต  3  จังหวัดนครราชสีมา ขานรับนโยบายรัฐ คัดกรองเด็ก ฝึกอบรม ให้ความรู้เรื่องการป้องกันเชื้อไวรัสโควิด 19

ที่ผ่านมา  ดร.รัตนะ  วรบัญฑิต  ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 3 จังหวัดนครราชสีมา ได้ขานรับนโยบายจากกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก กระทรวงยุติธรรม ให้เด็กและเยาวชนมีส่วนร่วมในการร่วมรณรงค์การป้องกันเชื้อไวรัส โควิด19

ทั้งนี้ ทางด้านศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 3 จังหวัดนครราชสีมา ยังได้มีการคัดกรองสำหรับเด็กแรกรับ ที่ส่งตัวเข้ามาเพื่อรับการพิจารณาจากศาล  โดยจะมีการกักตัว เป็นเวลา 14 วัน หลังจากนั้น จะทำการกักตัวโดยมีฉากพลาสติกใสกั้นทั้ง 4 ด้าน เป็นเวลาอีก 7 วัน  ก่อนที่จะได้เข้าไปอยู่กับเด็กคนอื่น ๆ เพื่อเป็นการป้องกันการต่อเชื้อไวรัสโควิด 19 สำหรับหอนอนของเด็ก ๆ ภายในศูนย์ฝึก ฯ ทั้งหอชายและหญิง ได้เพิ่มมาตรการป้องกันโดยให้มีระยะห่างของการนอน อย่างน้อย 1-2 เมตร และมีการทำความสะอาดเป็นประจำทุกวันทั้ง เช้าและเย็น

นอกจากนี้ ดร.รัตนะ  วรบัญฑิต  ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 3 จังหวัดนครราชสีมา ได้ให้สัมภาษณ์กับทีมข่าวว่า  ทางศูนย์ฝึกฯได้จัดทำโครงการฝึกวิชาชีพให้กับเด็กในสังกัดการควบคุม โดยแบ่งเป็น การจัดทำหน้ากากอนามัย โดยคัดเลือกเด็กหญิงที่มีความสามารถในการเย็บผ้า มาอบรมและฝึกการเย็บหน้ากากอนามัย โดย 1 วัน จะสามารถเย็บได้ถึง 400 ชิ้น เพื่อที่จะนำไปส่งมอบให้กับกรมพินิจและคุ้มครองเด็ก  ในการส่งต่อให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ต่อไป

และจัดให้มีการฝึกอบรมการทำน้ำยาเอนกประสงค์  และแอลกอฮอล์เจล ทำความสะอาด เพื่อให้เป็นความรู้ และยังได้มีการผลิตเพื่อใช้เองภายในองค์กรและแจกจ่ายไปยังหน่วยงานต่าง ๆ ให้เป็นสาธารณประโยชน์ต่อสังคม   ทั้งนี้  ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนเขต 3 จังหวัดนครราชสีมา มีเด็กในการดูแลทั้งสิ้น    380  คน  เป็นชาย 360 คน และหญิง  20  คน

 

>เสียงสัมภาษณ์<<

กลุ่มแม่บ้านตำบลพุดซา โคราช ระดมกำลังผลิตหน้ากาก 1,000 ชิ้น/วัน ให้จังหวัดแจกฟรี

#ร่วมด้วยช่วยกัน กลุ่มแม่บ้านตำบลพุดซา โคราช ระดมกำลังผลิตหน้ากากอนามัย 1 พันชิ้นต่อวัน แจกฟรี


.
ที่ศาลาหมู่บ้านดอนพัฒนา หมู่ 16 ต.พุดซา อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายวิเชียร จันทรโณทัย ผวจ.นครราชสีมาเดินทางไปตรวจเยี่ยมการผลิตหน้ากากผ้าอนามัยของกลุ่มแม่บ้านจิตอาสา“พุดซาก้าวหน้า”
. พร้อมนำผ้าจีวรของซึ่งได้รับจากครูบากฤษณะ อินทวัณโณ เกจิอาจารย์ด้านเมตตามหานิยมแห่งสำนักสงฆ์เวฬุวัน ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา รวมทั้งเงินสนับสนุนอาหารกลางวันมามอบให้กับกลุ่มแม่บ้านจิตอาสาฯ ท่ามกลางแม่บ้านฯระดมกำลังใช้จักรเย็บผ้าจำนวน 20 เครื่อง ผลิตหน้ากากกันอย่างประณีต มีกำลังผลิตหน้ากาก 500- 1,000 ชิ้นต่อวัน

นายทัศน์พล ผู้ใหญ่บ้านดอนพัฒนาฯ เผยว่า กลุ่มแม่บ้านจิตอาสา “ พุดซาก้าวหน้า ” เป็นกลุ่มสตรีในพื้นที่ตำบลพุดซา ระดมกำลังกันใช้จักรเย็บผ้าตัดเย็บผลิตหน้ากากอนามัย เพื่อนำไปแจกจ่ายให้กับประชาชนในพื้นที่ใช้สวมใส่ป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพื่อลดปัญหาหน้ากากอนามัยขาดแคลน มีราคาสูง สามารถซักทำความสะอาด นำมาใช้ซ้ำ ตามแหล่งชุมชนและสถานที่ที่อาจมีการรวมกลุ่มกัน เช่น ตลาดนัด ร้านสะดวกซื้อ หรือสถานที่ราชการต่างๆ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และลดการเกิดขยะจากการใช้หน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทิ้ง

เครดิต : https://bit.ly/3bSfyz2
#เมืองที่คุณสร้างได้

ตำรวจภูธรภาค 3 โชว์ผลงานกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ ทำลายเครือข่ายทุกระบบ

ผลงานดี!! ตำรวจภูธรภาค 3 กวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติ ทำลายเครือข่ายทุกระบบ

ตำรวจภูธรภาค ๓  โดย พล.ต.ท.พูลทรัพย์  ประเสริฐศักดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓, พล.ต.ต.คีรีศักดิ์  ตันตินวะชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓ (หัวหน้างานป้องกัน ปราบปรามยาเสพติด) , พล.ต.ต.อัคราเดช  พิมลศรี  , พล.ต.ต.จิตรจรูญ  ศรีวนิชย์ , พล.ต.ต.ภาณุ   บุรณศิริ  รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓  (ผู้ช่วยงานป้องกันปราบปรามยาเสพติด) พล.ท.ธัญญา เกียรติสาร มทภ.2/ผอ.ศอ.ปส.ชอน. พล.ต.เวิน จำปาสา        รอง ผอ.ศอ.ปส.ชอน. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด  เร่งรัดสืบสวนจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในเขตพื้นที่รับผิดชอบ การกวาดล้างยาเสพติดในทุกมิติการทำลายเครือข่ายตัดวงจรยาเสพติดทุกระดับ  การสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดตามแนวชายแดน และพื้นที่ชั้นใน

คดีที่ 1 เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2563 นายธัชกร หัตถาธยากูล ผวจ.บุรีรัมย์,นายดำรงชัย เนรมิตตกพงศ์ รอง ผวจ.บุรีรัมย์,  พล.ต.ต.ชาญชัย พงษ์พิชิตกุล ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์, พล.ต.ต.    ปวริศ  บุญสุทธิ ผบก.สส.ภ.๓, พล.ต.ต.อิทธิพล  นาคคำ ผบก.ภ.จว.ยโสธร, พ.ต.อ.ประสงค์     เรืองเดช รอง ผบก.สส.ภ.3, พ.ต.อ.ก้องชาติ  เลี้ยงสมทรัพย์ รอง ผบก.ภ.จว.บุรีรัมย์, พ.ต.อ.สุธี  ตะรุโนภาส ผกก.สภ.ชุมพลบุรี, พ.ต.อ.สมยศ พื้นชัยภูมิ ผกก.บ้านใหม่ไชยพจน์, พ.ต.อ.วิษณุ  อาภรณ์พงษ์ ผกก.สภ.กระสัง, พ.ต.อ.ยุทธพงษ์  รอดนวล ผกก.สืบสวน ๑ บก.สส.ภ.๓, พ.ต.อ.มังกร  กวีกรณ์ ผกก.สภ.เมืองยโสธร , พ.ต.ท.สยาม เกียรติบรรจง สวญ.สภ.โคกกระชาย, พ.ต.อ.ปรัชญ์  สุนทรพิมล  ผกก.ตชด.21, พ.ต.ท.ยศพล  โคตา ผบ.ร้อย ตชด.215, พ.ต.ท.วิชาญ กระจ่างโพธิ์  รอง ผกก.กก.สส.ภ.จว.บุรีรัมย์  สั่งการให้เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติมีการ  บูรณาการร่วมกัน ประกอบด้วยชุด ปชข.ตชด.215, ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์, ศอ.ปส.จว.บุรีรัมย์ ,กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.3 , สภ.เมืองยโสธร, กก.สส.สภ.เมืองยโสธร, กก.สส.ภ.จว.มุกดาหาร และเจ้าหน้าที่ทหาร สำนักการข่าว กอ.รมน. จับกุมผู้ต้องหาซึ่งเป็นนักบินลำเลียงยาเสพติดมาส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.บุรีรัมย์ และพื้นที่ใกล้เคียง คือ

๑) นายพงศกรหรือเจม  แสนจันทร์ อายุ ๒๖ ปี  บ้านเลขที่ ๑๗๐ หมู่ที่ ๖ ต.นาสีนวน

อ.เมืองมุกดาหาร จว.มุกดาหาร

๒) น.ส.เพ็ญนภาหรือแป้ง  ชัยรักษ์ อายุ ๒๘ ปี บ้านเลขที่ ๑๒๔ หมู่ที่ ๗ ต.นิคมน้ำอูน อ.นิคมน้ำอูน จว.สกลนคร

๓) นายประโยธรหรือก้าน  ซาผู อายุ ๒๗ ปี   บ้านเลขที่ ๓๑ หมู่ที่ ๙ ต.เหล่าหมี         อ.นาตาล  จว.มุกดาหาร

๔) นายอภิชาตหรือท๊อป  โคตสะขึง อายุ ๒๕ ปี  บ้านเลขที่ ๑๖๙ หมู่ที่ ๖ ต.นาสีนวน

อ.เมืองมุกดาหาร  จว.มุกดาหาร

๕) นายวีระศักดิ์หรือนัด   พลอยพันธ์ อายุ ๒๗ ปี บ้านเลขที่ ๙๘ หมู่ที่ ๔ ต.บ้านบาก

อ.นาตาล จว.มุกดาหาร

พร้อมของกลางยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) จำนวน 20 มัด (๓๙,๙๗๕ เม็ด) และโทรศัพท์มือถือ จำนวน 7 เครื่อง โดยกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมายและแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาที่ ๑  เพิ่มเติมว่าเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑   (เมทแอมเฟตามีน) โดยผิดกฎหมาย”

พฤติการณ์ เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๓ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ชปข.ร้อย ตชด.๒๑๕ , ชป.ปส.ภ.จว.บุรีรัมย์ และฝ่ายปกครองได้ร่วมกันจับกุม นายอรชุนหรือแสง กระดานลาด อายุ ๓๔ ปี ที่อยู่ ๕๓ หมู่ที่ ๓ ต.ห้วยหิน อ.หนองหงส์ จว.บุรีรัมย์ พร้อมยาไอซ์น้ำหนัก ๔๘.๓๐ กรัม   และ

ยาบ้า จำนวน ๒,๙๔๒ เม็ด ในฐานความผิด “มียาเสพให้โทษประเภท ๑ (ยาไอซ์และยาบ้า) ไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” นำส่ง พงส.สภ.หนองหงส์ ดำเนินคดี จากการขยายผลเครือข่าย เจ้าหน้าที่ ชปข.ตดชด.215 ได้อำพรางตัวเป็นลูกน้องนายอรชุน เพื่อรอรับยาบ้าที่ผู้ค้าชาวลาวจะติดต่อมาให้เก็บยาบ้าในครั้งต่อไป ต่อมาวันที่ 14 มี.ค.2563 ได้จับกุมเครือข่ายยาเสพติดและตรวจยึดยาบ้าที่มีผู้วางส่ง พงส.สภ.นางรอง เพื่อดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้อง และในวันที่   ๑๗ มีนาคม ๒๕๖๓ ได้ประชุมวางแผนจัดกำลังเฝ้าสังเกตตามเส้นทางที่เคยตรวจยึดห่อยาบ้า    เชื่อว่าเครือข่ายจะนำมาวางก่อนแล้วโทรบอกให้ไปเก็บ  ต่อมาพบว่ามีรถเก๋งยี่ห้อนิสสันสีขาวขับมาจอดบริเวณหลักกิโลเมตรตามเส้นทางถนนบุรีรัมย์ – นางรอง หลังจากนั้นจะมีรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้าขับมาจอดและมีคนลงจากรถไปที่หลักกิโลเมตร แล้วรีบขับรถออก เมื่อเข้าตรวจสอบพบว่าเป็นห่อยาบ้า จึงได้แจ้งกำลังให้สกัดเพื่อจับกุม รถยนต์ทั้งสองคันพร้อมผู้ขับขี่ไว้ ต่อมาสกัดหยุดรถยนต์กระบะโตโยต้า ทะเบียน บต ๖๖๘๖ มุกดาหาร ได้ที่สี่แยกไฟแดงกระสัง ต.บ้านบัว อ.เมือง จว.บุรีรัมย์ และระหว่างไล่ติดตามสกัดคนในรถได้โยนถุงปุ๋ยภายในมียาบ้าที่ยังวางไม่แล้วเสร็จออกจากรถจึงได้ตรวจยึดไว้  ส่วนรถยนต์รุ่นอัลเมร่า สีขาว ทะเบียน กจ ๒๕๓๙ นครพนม ไม่สามารถสกัดจับกุมได้ในทันที เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ชุมพลบุรี พร้อมกำลังได้ขับติดตามไป ต่อมากำลังปฏิบัติได้ประสานศูนย์ 191 ภ.จว.ยโสธร เพื่อแจ้งกำลังตั้งด่านช่วยสกัด และสกัดหยุดรถได้ที่สี่แยกไฟแดงโลตัส  ต.สำราญ  อ.เมืองยโสธร จ.ยโสธร และได้สอบถามขยายผลผู้ต้องหาทั้งหมด ที่จึงได้ประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานข้างเคียง และนำตัว ผู้ต้องหาไปตรวจค้นที่บ้านพักในพื้นที่         ต.นาสีนวน อ.เมือง จ.มุกดาหาร จากการตรวจค้นได้ตรวจยึดอาวุธปืนยาวขนาด .22 พร้อมกระสุน 191 นัด เพื่อดำเนินคดีกับ นายพงศกรฯ ผู้ต้องหาที่ 1 (แยกดำเนินคดีที่ สภ.เมืองมุกดาหาร) และตรวจยึดทรัพย์สินไว้ตรวจสอบ พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ประกอบด้วย รถยนต์ 3 คัน รถจักรยานยนต์ 2 คัน ทองรูปพรรณ น้ำหนักรวม 28.61 กรัม รวมราคาทรัพย์สินที่ตรวจยึดประมาณ 1,320,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนสองหมื่นบาท)

คดีที่ 2 เมื่อวันที่ 29 มี.ค.2563 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 2 บก.สส.ภ.3 ซึ่งเป็นชุดปฏิบัติการ ชป.ปส.ภ.3  ร่วมกับเจ้าหน้าที่ทหาร ศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (ศอ.ปส.ชอน.)  ทำการตรวจยึดยาบ้า จำนวน 30,000 เม็ด ที่บริเวณริมถนนทางหลวงชนบทสาย 4019 บ้านเย้ยปราสาท ไปบ้านหนองหว้า ต.เย้ยปราสาท     อ.หนองกี่ จว.บุรีรัมย์ นำส่ง พงส.สภ.หนองกี่ เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย ต่อมา เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 2 ได้ทำการขออนุมัติครอบครองยาเสพติด ฯ เพื่อทำการขยายผลเครือข่ายยาเสพติดที่แพร่ระบาดในพื้นที่ ภ.3

ต่อมา วันที่ 30 มี.ค.2563 ชุดปฏิบัติการดังกล่าวได้ร่วมกันทำการสืบสวนขยายผลในพื้นที่ อ.เมืองนครราชสีมา โดยให้สายลับและเจ้าหน้าที่อำพรางทำการติดต่อกับเครือข่ายยาเสพติดของนายวราวุธ หรือนิว ลำพูน โดยนายวราวุธ ฯ จะให้สายลับและเจ้าหน้าที่อำพราง ทำการนำยาบ้าไปส่งให้กับเครือข่ายของตน ซึ่งต่อมา เวลาประมาณ 13.00 น. ได้มีโทรศัพท์ติดต่อมายังโทรศัพท์ของสายลับและเจ้าหน้าที่ (เป็นชายไม่ทราบชื่อและสกุล) เพื่อให้นำยาบ้าไปส่งให้กับบุคคลดังกล่าว เจ้าหน้าที่อำพราง จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบและร่วมกันวางแผนทำการสืบสวนติดตามจับกุมผู้กระทำผิด จึงได้วางแผนนัดส่งมอบยาบ้าให้เครือข่ายยาเสพติด ฯ ที่บริเวณด้านหลังลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ นครราชสีมา ต่อมา ได้มีโทรศัพท์จากเครือข่ายยาเสพติด ฯ ติดต่อมาเพื่อขอทราบจุดที่จะไปเอายาบ้า สายลับและเจ้าหน้าที่อำพรางจึงนัดหมายว่าจะนำส่งวางยาบ้าไว้ที่บริเวณถังขยะด้านหลังลานจอดรถห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ นครราชสีมา จนกระทั่ง เวลาประมาณ 19.30 น. ได้มีรถยนต์กระบะยี่ห้อ ไททัน สีเทา หมายเลขทะเบียน 2 ฒง 4429 กรุงเทพมหานคร ขับขี่เข้ามาจอดที่บริเวณด้านหลังลานจอดรถห้างสรรพสินค้า เดอะมอลล์ นครราชสีมา ใกล้กับถังขยะ และมีชายวัยรุ่นได้ลงจากรถยนต์กระบะคันดังกล่าว แล้วเดินไปยังบริเวณถังขยะเพื่อหยิบสิ่งของบางอย่าง เมื่อเจ้าหน้าที่ เห็นว่าชายวัยรุ่นดังกล่าวได้หยิบสิ่งของที่เป็นยาบ้า  จึงได้เข้าทำการจับกุม ขอตรวจค้นตัวก่อนตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์ใจให้บุคคลทั้ง 3 ดูจนเป็นที่พอใจ ผลการตรวจค้นพบ ยาบ้า จำนวน 10 มัด  (20,000 เม็ด) โทรศัพท์ จำนวน 3 เครื่อง สอบถามทราบชื่อ ดังนี้

1) นายทศพร กาญจนานุศล อายุ 32 ปี ที่อยู่ 158 ม.6 ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ จว.นครราชสีมา

2) นายประทีป ทองไทย อายุ 30 ปี ที่อยู่ 52 ม.16 ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ จว.นครราชสีมา

3) นายวิฑูรย์ อ่อนทองหลาง อายุ 41 ปี ที่อยู่ 25 ม.16 ต.ท่าช้าง อ.เฉลิมพระเกียรติ จว.นครราชสีมา

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งสิทธิและข้อกล่าวหาให้บุคคลทั้ง 3 ทราบว่า “ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย” สอบถามบุคคลทั้ง 3 ให้การรับสารภาพว่าได้รับคำสั่งจากนายต๋องฯ  ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง อาศัยอยู่ที่  อ.ปากช่อง  จว.นครราชสีมา โดยเมื่อได้รับยาบ้าแล้วจะนำไปส่งให้กับนายต๋องฯ  ที่ อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ได้ทำการขยายผลทำลายเครือข่ายนักค้ายาเสพติด โดยบุคคลทั้ง 3 ยินยอมสมัครใจที่จะให้ความร่วมมือในการทำลายเครือข่ายยาเสพติด โดยจะนำพาเจ้าหน้าที่ตำรวจไปยังบ้านพักของ นายต๋องฯ เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันเดินทางไปยัง ต.หมูสี อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา เพื่อทำการสืบสวนขยายผลจับกุมนายต๋องฯ

ต่อมา วันที่ 31 มี.ค.2563 เวลาประมาณ 00.30 น. เจ้าหน้าที่ ได้ร่วมกันทำการจับกุมผู้ต้องหา ดังนี้

1) เอกพล หรือต๋อง การพัดชี อายุ 23 ปี 143 ม.1 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา

2) นายอภิสิทธิ์ แซ่โง้ว อายุ 20 ปี ที่อยู่ 143/3 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา

3) นายเพิ่มศักดิ์ จงจิตร อายุ 20 ปี 104 ม.3 ต.หมูสี อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา

4)น.ส.วรวรรณ ศรีหาพรม อายุ 23 ปี ที่อยู่ 53/1 ต.ขนงพระ อ.ปากช่อง  จว.นครราชสีมา

พร้อมของกลาง

1.ยาบ้า จำนวน 513 เม็ด

2.สารไอซ์ น้ำหนักประมาณ 1.9 กรัม

3.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ สีดำ 4 ประตู หมายเลขทะเบียน ขท 6073 นครราชสีมา จำนวน 1 คัน

นายเอกพลหรือต๋อง ให้การรับว่า ตนเองได้สั่งการให้นายทศพรหรือแก๊ป กาญจนานุศล กับพวก รวม 3 คน ให้ไปรับยาบ้าที่ตนเองได้สั่งซื้อไว้กับเครือข่ายยาบ้าของนายวราวุธฯ มาส่งให้กับตนที่ห้องเช่าดังกล่าวจริง เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการขยายผลคดีต่อ โดยนายเอกพลหรือต๋อง การพัดชี แจ้งว่าตนเองสามารถติดต่อขอซื้อยาเสพติดจากอีกเครือข่ายได้ โดยทราบชื่อว่านายศักดิ์ไม่ทราบชื่อและสกุลจริง อาศัยอยู่ที่ ต.หมูสี อ.ปากช่อง จว.นครราชสีมา และสมัครใจยินยอมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่  จึงได้ร่วมกันวางแผนขยายผลจับกุมเครือข่าย ยาเสพติด ต่อมาเวลาประมาณ 04.50 น. เจ้าหน้าที่จึงได้ร่วมกันทำการเข้าตรวจค้นจับกุม นายกิตติศักดิ์ หรือศักดิ์  คำพรานลาน พร้อมของกลาง

1.ยาบ้า จำนวน 25 มัด (50,000 เม็ด)

2.โทรศัพท์ จำนวน 1 เครื่อง

3.รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ นิสสัน สีน้ำตาล หมายเลขทะเบียน 2 ฒฆ 6347 กรุงเทพมหานคร จำนวน 1 คัน

สอบถามนายนายกิตติศักดิ์ หรือศักดิ์ คำพรานลาน รับว่า ยาเสพติดดังกล่าวเป็นของตนเองจริง โดยสั่งซื้อมาจากผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ จว.นครราชสีมา เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งสิทธิ์และข้อกล่าวหาให้ทราบว่า “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยผิดกฎหมาย”

เงียบเหงา!!หลังผู้ว่าสั่งปิดแหล่งน้ำและงดเล่น ฝ่าฝืนปรับ 100,000 บาท

ผู้ว่าโคราชประกาศลงเล่นน้ำแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติปรับ100,000บาท!!

หลังจากที่  นายวิเชียร  จันทรโณทัย  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ  หลังประกาศสั่งปิดทั้งจังหวัด  เอาจริงหากพบมีการลักลอบเปิดให้ ปชช.เล่นน้ำ ลงโทษทันที

ที่ผ่านมานายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  พร้อมด้วยนายสุรศิษฐ์  อินทกรอุดม  นายอำเภอสูงเนิน  ลงพื้นที่ตรวจสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ หลังในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วยเชื้อโควิด-19 เพิ่ม เป็น 13 ราย จึงมีมาตรการเพิ่มเติมออกมาตรการสั่งปิดสถานที่ท่องเที่ยวทางน้ำเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  โดยผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมคณะลงพื้นที่สำรวจแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ แก่งวังเณร  และแก่งวังคาวบอย  ม.2  และ ม.3 ต.มะเกลือเก่า  อ.สูงเนิน  ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว 2  ใน 5 สถานที่ ที่ทางจังหวัดนครราชสีมา สั่งปิดเพิ่มเติม  โดยจากการตรวจสอบพบว่าร้านค้าต่างๆให้ความร่วมมือปิดการจำหน่ายสินค้า ทุกร้านค้า รวมทั้งปิดป้ายประกาศห้ามลงเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าวตามมาตรการของทางจังหวัด

 

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  กล่าวว่า เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของของไวรัสโควิด-19 ได้ใช้อำนาจตามความในมาตรา25(1) แห่ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 ประกาศปิดสถานที่เป็นการชั่วคราวได้แก่ 1.แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแก่งวังเณร ม.2 ต.มะเกลือเก่า อ.สูงเนิน  2.แหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติ แก่งวังคาวบอย  ม.3  ต.มะเกลือเก่า  อ.สูงเนิน  3.แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ท่าไทรลานหิน  ม.3  ต.สูงเนิน  อ.สูงเนิน  4.เขื่อนกุดหิน  ม.8  ต.โคราช  อ.สูงเนิน  และ  5.แหล่งท่องเที่ยงทางธรรมชาติ  น้ำผุด  ม.16  ต.หมูสี  อ.ปากช่อง  หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ประกาศ ณ วันที่ 28 มีค.2563

ขณะเดียวกันยังได้สั่งการให้นายอำเภอทั้ง 32 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา ตรวจสอบพื้นที่ที่มีแหล่งท่องเที่ยงทางน้ำทุกแห่ง และประกาศสั่งปิดทันทีเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19

สถานพินิจโคราช “สุดเจ๋ง” ติดตั้งเครื่องพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิค-19

สถานพินิจโคราช “สุดเจ๋ง” สร้างห้องพ่นฆ่าเชื้อไวรัสโควิค-19


สถานพินิจและคุ้มครองเด็กจังหวัดนครราชสีมาผุดไอเดียสร้างตู้พ่นฆ่าเชื้อโควิค-19 ให้กับบุคลากร-ญาติผู้ต้องขังเยาวชนที่มาใช้บริการวันละหลายร้อยคนได้ปลอดภัยกับการแพร่กระจายโควิค-19


นายคมกฤษณ์ แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า ปัจจุบันสถานพินิจโคราชมีเด็กเยาวชนที่อยู่ในการดูแลทั้งชาย-หญิง อยู่ 160 คน แต่ละวันจะมีผู้ปกครองเดินทางมาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่หลายราย ทางสถานพินิจโคราชจึงได้สร้างห้องพ่นฆ่าเชื้อโควิค-19 เพื่อมาช่วยสร้างความมั่นใจนอกจากการล้างมือและการวัดไข้ ซึ่งห้องพ่นไอหมอกตัวนี้จะมี ไฮโดรเจน เพอร์ออกไซด์ LP (3%) ช่วยฆ่าเชื้อที่อยู่ตามร่างกายโดยบริเวณเสื้อผ้า และไม่มีปัญหากับและระบบภายในของร่างกาย สร้างความมั่นใจให้กับหน่วยงานและองค์กรตลอดจนประชาชนที่เดินทางมาใช้บริการ

โดยเครื่องพ่นไอหมอกฆ่าเชื้อโควิค-19 ตัวนี้มีราคาอยู่ที่ 5,000 บาท ออกแบบโดยสถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน ใช้เวลาสร้างเพียง 4 วัน โดยมีนายธิติรัตน์ พงษ์พุทธรักษ์ นายกสมาคมนักข่าว จังหวัดนครราชสีมา เป็นผู้จัดหางบประมาณจัดทำและประสานงานออกแบบสร้าง

 

ดูภาพเพิ่มเติม

สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นครราชสีมา  ปรับเปลี่ยนวิธีการรายงานตัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส โควิด 19

สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน นครราชสีมา  ปรับเปลี่ยนวิธีการรายงานตัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัส โควิด 19

  

เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันที่พบว่ามีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 (COVID – 19) มีแนวโน้มแพร่ระบาดมากขึ้นสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน จังหวัดนครราชสีมา ดังนั้นเพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าวจึงขอแจ้งให้เด็ก/เยาวชน และผู้ปกครอง ที่ต้องมารายงานตัวตามมาตรา 86 เป็นการรายงานตัว “ผ่านวีดิโอคอลทางแอปพิเคชั่นไลน์หรือโทรศัพท์ โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนในวันที่รายงานตัว”  หากมีการเปลี่ยนแปลงทางสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา จะแจ้งให้ทราบต่อไป

 

ทั้งสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลและรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายประสานกิจกรรมชุมชน นางสาวศศิธร ชัยภูมิ 044-222435 ต่อ 32   โดยที่ผ่านมา สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา  นำโดย นายคมกฤษณ์  แสงจันทร์ ผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยกลุ่มงานประสานกิจกรรมชุมชน ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการรับรายงานตัวเด็กและเยาวชน ผ่านทางแอปพิเคชั่น LINE VDO CALL หรือโทรศัพท์ เพื่อเป็นการลดปัญหาความเสี่ยงที่จะมีผลต่อการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด (COVID-19) สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดนครราชสีมา

ดูแลกันได้แม้ห่างไกลกัน Stay  at  home ดูแลตัวเอง ดูแลสังคม เพื่อป้องกัน Virus  COVID-19

พ่อเมืองโคราชประกาศ ผู้ติดเชื้อ โควิด19 พุ่ง 11 ราย!!

พ่อเมืองโคราชประกาศ ผู้ติดเชื้อ โควิด19 พุ่ง 11 ราย!!

 โคราชผู้ติดเชื้อโควิด 19 พุ่ง!!รายใหม่เพิ่มอีก 4 ราย  รวมในพื้นที่พบผู้ติดเชื้อแล้ว 11 ราย ผู้ว่าสั่งปฏิบัติหน้าที่ตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินคุมเข้มทุกพื้นวันที่26 มีนาคม 2563)

นายวิเชียร จันทรโณทัย ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา พร้อมด้วยนายแพทย์นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา และนายแพทย์ชุติเดช ตาบ-องครักษ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา ได้ร่วมกันแถลงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19
โดยผู้ป่วยรายใหม่ 4 รายเพิ่มเติม ประกอบด้วย รายที่ 8 เป็นหญิง อายุ 25 ปี เป็นลูกสาวของผู้ติดเชื้อรายที่ 7, รายที่ 9 เป็นเด็กหญิง อายุ 1 ปี 2 เดือน เป็นหลานสาวของผู้ติดเชื้อรายที่ 7 เช่นเดียวกัน, รายที่ 10 เด็กหญิง อายุ 9 ปี ติดเชื้อมาจากแม่ที่กรุงเทพฯ

 ส่วนผู้ป่วยรายที่ 11 เป็นชาย อายุ 36 ปี มีประวัติไปเชียร์มวยที่สนามมวยราชดำเนิน และลุมพินี กรุงเทพฯ โดยขณะนี้ผู้ป่วยทั้ง 11 ราย ยังคงมีอาการไม่หนักมาก ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา ได้เรียกประชุมนายอำเภอทั้ง 32 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมา  เพื่อวางมาตรการในการควบคุมสถานการณ์ในระดับจังหวัด หลังรัฐบาลมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยทางจังหวัดได้ตั้งด่านตรวจ 12 จุด ตรวจเข้มการเดินทางข้ามจังหวัดของประชาชน และเตรียมบังคับใช้กฎหมายตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรค รวมทั้งร้านอาหาร และสถานที่ๆ #โควิด19 #เกาะติสถานการณ์โควิด1

ผู้ว่าโคราชขอความร่วมมือ สวมหน้ากากอนามัย ทุกคน 100% เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อ COVID 19

ผู้ว่าโคราช ขอความร่วมมือจากคนโคราช สวมหน้ากากอนามัย100 % เพื่อลดภาวะเสี่ยง

หลังจากที่วันนี้  24 มีนาคม 2563  ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา นายวิเชียร  จันทรโณทัย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ได้ร่วมกันแถลงสถานการณ์ Covid 19 ในจังหวัดนครราชสีมา  ที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 1 ราย  รวมทั้งสิน  6  ราย  ทำให้มีผู้ป่วยรายใหม่สะสมมากยิ่งขึ้น

ทางด้าน ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  จึงได้หารือกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง  รวมทั้งขอความร่วมมือจากสื่อมวลชน  ว่าให้ช่วยนำเสนอข่าวสารที่จะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชาวโคราช  พร้อมทั้งการรณรงค์การสวมใส่หน้ากากอนามัยให้ได้ทุกคน  100 %  เพื่อความปลอดภัยของตนเองและคนรอบข้าง  และหลังจากมีการแถลงข่าวเป็นที่เรียบร้อย  จึงได้มีประกาศออกมาอย่างเป็นทางการ  โดยให้เริ่มตั้งแต่วันนี้เป็ฯต้นไป  ตามมาตรการเฝ้าระวัง ป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) จึงได้ออกมาตรการเพิ่มเติม ดังนี้
1. ให้ประชาชนในจังหวัดนครราชสีมาใส่หน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกคน
2. ประชาชนผู้ติดต่อราชการต้องสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้ง
3. ให้งดหรือเลื่อนการจัดงานประเพณีสงกรานต์ หรืองานที่มีลักษณะที่เป็นการชุมนุมชน ของทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชนออกไปก่อน (ยกเว้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง และมีการปฏิบัติด้านสาธารณสุขครบถ้วน)